Tuesday, November 4, 2008

เกมรักแผนร้ายของนายมาเฟีย

ประเดิมเรื่องแรกเลยครับ กับ นิยายไทย


ฉันชื่อหยาดฝนค่ะ พ่อกับแม่ของฉันเป็นเปิดร้านขายเครื่องเขียนอยู่ที่นี้ค่ะ “เฮ้..!!.จ่ายค่าคุ้มครองด้วย” เอาอีกแหละเจ้าพวกมาเฟีย มารีดไถ่เงินค้าคุ้มครองกันอีกแล้ว ฉันล่ะเกียจเจ้าพวกนี้เข้าไส้เลย อยากจะรู้จริงๆว่าวันวัน พวกมันทำอะไรกันบ้างนอกจากการเร่เก็บค่าคุ้มครองจากพ่อค้าแม่ค้าตาดำๆเนี่ย
“มองอะไรน้องสาว จ่ายค่าคุ้มครองมาซะดีๆ”
“พวกแกเป็นญาติฝ่ายไหนของฉันมิทราบ” ฉันชักจะหมดความอดทนกับเจ้าพวกนี้มากขึ้นทุกที
“โห๋น้อง พี่พูดดีดี ทำไมต้องใส่อารมณ์แบบนี้ด้วยล่ะ”
“น้อง!!..ไหนๆ ใครเป็นน้องแกมิทราบ ฉันก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าคนที่โชคร้ายคนไหนจะได้เกิดมาเป็นน้องของพวกนาย แล้วขอบอกไว้นะว่าไอ้ค่าคุ้มครองงี่เง่านั้นน่ะฉันไม่จ่ายเว้ย” ปกติฉันไม่ใช่คนปากจัดอย่างนี้หรอกค่ะ แต่กับเจ้าพวกนี้มันต้องเล่นไม้แข็งไม่งั้นพวกมันก็จะมาข่มเหงรังแกพวกแม่ค้าพ่อค้าแถวนี้อยู่เรื่อยๆ
“ปากดีจังนะ เดียวพี่จะตบสั่งสอน” ใครจะยอมให้แกมารังแกง่ายๆล่ะ
“เข้ามาเลยซิ” ฉันถ้าเจ้าพวกนั้น
พลั่ก!!!…ฉันชกพวกนั้นเต็มแรงคนล่ะหมัดสองหมัด
“นี่พอได้แล้วหยาดฝนอย่าไปมีเรื่องกับพวกเขา ลูกเองอย่าลืมสิว่าตัวเองเป็นผู้หญิงจะไปสู้แรงผู้ชายได้ยังไง เอาเถอะค่าคุ้มครองเดี๋ยวแม่จะจ่ายเอง”
“แม่ก็เป็นอย่างนี้อยู่เรื่อยแหละ เห็นไหมว่าเจ้าพวกนี้มันก็ได้ใจกันใหญ่” ฉันไม่อยากพูดกับแม่แล้วแม่ชอบมาห้ามเวลาฉันจะชกเจ้าพวกนี้ ทำไมนะ ทำไมแม่ต้องให้ท้ายพวกมันตลอด ฉันไม่เข้าใจไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจเลยจริงๆ ฉันเดินกลับบ้านอย่างเซ็งๆ
เช้าวันใหม่เป็นวันเปิดเทอมวันแรกกับชุดนักเรียนสาวม.ปลายเย้!!วันนี้ฉันก็เป็นนักเรียน
ม.ปลายเต็มตัวแล้วซิเนี่ย
“แม่ค่ะฝนไปโรงเรียนแล้วนะคะสวัสดีค่ะ” ฉันเดินไปขึ้นรถไฟที่สถานี วันนี้อากาศดีใช้ได้เลย
ผลัก!!..ฉันเดินชนชายร่างสูงคนหนึ่งแต่เหมือนว่าเขาจะไม่เป็นอะไรมากแต่ฉันนี้สิล้มลงกองกับพื้นเลย ฮือๆๆ เสื้อนักเรียนสีขาวผุดผ่องของฉันตอนนี้กลายเป็นผ้าเช็ดพื้นไปแล้วเหรอเนี่ย
“นี่คุณเป็นอะไรมากไหมครับเจ็บตรงไหนรึเปล่า” เขายืนมือมาให้ฉัน หน้าตาเขาใช้ได้เลยทีเดียว
แค่มองไกลๆก็รู้สึกเคลิ้มแล้วถ้าได้มองใกล้ๆคงจะหล่อมากมากแน่เลย ฉันขว้ามือของเขาพร้อมกับพยุงตัวเองขึ้น แต่ก็ ไร้ผล “โอ้ย!!”เจ็บจัง ฉันเจ็บขามากเลย ตอนนี้ฉันเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของเขาเรียบร้อยแล้วเขาช่วยประคองฉันขึ้น อืมโลกมันช่างกลมจังนะ ก็เขาอยู่โรงเรียนเดียวกับฉันเลยดูได้จากตราสัญลักษณ์ประจำโรงเรียนที่อกเสื้อด้านขวา
“ขอบคุณมากนะคะ ว่าแต่คุณอยู่โรงเรียนเซ็นโป ใช่ไหมคะ”
“อืมครับ”
“ฉันก็อยู่ที่โรงเรียนนั้นเหมือนกันค่ะแต่อยู่ม.ปลายปี1ค่ะ วันนี้เป็นวันเปิดเรียนวันแรกซะด้วยสิ”
“อ้าวเธออยู่ม.ปลายปีหนึ่งเหรอ ผมก็อยู่ม.ปลายปีหนึ่งเหมือนกันแถมวันนี้ผมต้องกล่าวรายงานการปฐมนิเทศน์ด้วยน่ะสิ” อึ้ยอะไรนะ งั้นก็แสดงว่านายนี้สอบเข้าได้คะแนนท๊อปอันดับหนึ่งล่ะซิ ต่างกับฉันเลยฉันได้ที่27จากนักเรียน1000คน แต่ฉันก็ถือว่าฉันยังอยู่ในเกณฑ์ที่ใช่ได้เหมือนกันแหละ
“นี่ฉันไม่รบกวนนายแล้วล่ะฉันรู้ว่านายรีบ”
“ได้ยังไงล่ะก็ผมทำคุณล้ม”
“ไม่เป็นไรหรอกฉันซู้มซ้ามเองต่างหากล่ะ”
“ไม่ได้ อืม..เอางี้ถ้าคุณไม่รังเกียจขี่หลังผมไปขึ้นรถไฟก่อนดีไหม”
“ไม่เอาดีกว่าฉันเกรงใจ”บ้าเหรออยู่ดีดีจะให้ไปขี่หลังผู้ชายไม่เอาด้วยหรอก เฮ้ยๆ อะไรกันทำไมหัวฉันกลับล่ะ ว้ายตายแล้วนายนั่นแบกฉันขึ้นบ่าของเขาไปแล้ว อ้ายทำอะไรไม่ปรึกษาฉันเลย
“นี่อยู่นิ่งๆเฉยๆก็เมื่อกี้ฉันบอกเธอดีดีแล้วแต่เธอปฏิเสธเองช่วยไม่ได้ฉันก็เลยต้องใช้วิธีนี้”
“ปล่อยฉันนะ ปล่อยฉันลงเดี๋ยวนี้” ฉันพยามดิ้นพร้อมกับทุบเขาเบาๆ
“ไม่ปล่อย เธอน่ะตัวก็หนักอยู่แล้วยังจะมาดิ้นอีกฉันอุตส่าห์หวังดีไม่อยากให้เธอไปโรงเรียนสาย” ก็ได้วะ ไหนๆก็ถูกอุ้มมาแล้วนี้ปฏิเสธไปก็คงจะไม่ได้อะไร สู้ฉันให้เขาแบกก็ดีแล้วไม่ต้องเดินด้วย
แล้วเขาก็แบกฉันมาขึ้นรถไฟจนได้ในรถไฟนี้แน่นมากฉันโดนเบียดจนจะเป็นปลาหมึกบดอยู่แล้ว
ที่หน้าโรงเรียนเซ็นโป ชื่อโรงเรียนบ่งบอกว่านี้คือโรงเรียนแบบสากล
“ขอบใจนายมากนะ” ฉันขอบใจเขาก็เขาอุตส่าห์ช่วยแบกฉันขึ้นรถไฟแถมยังช่วยประคองฉันเดินมาที่โรงเรียนอีกด้วย
“ไม่เป็นไรแล้วเจอกันนะเธอ..เอ่อ” “หยาดฝนฉันชื่อหยาดฝน แล้วนายล่ะ” ฉันยิ้มให้เขา
“ผมชื่อนัทชา เรียกนัทก็ได้” อืมชื่อแมนจัง หน้าตาก็ดีเรียนก็เก่ง แถมเป็นสุภาพบุรุษอีกต่างหากฉันเดินเข้าหอประชุมไปแบบกระเผกกระเผก เพราะอาการที่ขายังไม่หายดีเท่าที่ควร ยังเจ็บแป๊ดๆอยู่
โอ้ว หอประชุมแอร์เย็นดีจังฉันชอบ ฉันฟังอาจารย์พูดไปซักพักก็เริ่มเกิดอาการอยากจะหลับขึ้นมาทันทีทันใด ตอนนี้ฉันเคลิ้มได้ที่แล้วฉันค่อยๆปิดตาลง
“โอกาศนี้ขอเชิญนักเรียนที่สอบได้คะแนนสูงที่สุดขึ้นมากล่าวปฐมนิเทศน์ค่ะ”
“สวัสดีครับผมชื่อนัทชาครับ เรียกว่านัทก็ได้ครับ นี่หยาดฝนตื่นเดี๋ยวนี้นะ”อุ๊ยตายแล้ว วิธีปลุกของนายนั้นที่ทำฉันอายทั่วหอประชุมเลย บ้ารึเปล่านาย อย่างนี้มันแกล้งกันชัดๆเลยนะ
“อืมไม่มีอะไรหรอกครับผมแค่สะกิดคนบางคนที่หลับในห้องประชุม เรามาเข้าเรื่องกันต่อดีกว่าครับ.........................”หมอนั้นพูดไปเรื่อยฉันเองก็ไม่ค่อยได้ฟังเท่าไหร่หรอก จะบอกว่าฟังไม่รู้เรื่องเลยก็ว่าได้ ไม่เข้าใจเลย ภาษาคนเก่งเนี่ย ฉันมันคนไม่ค่อยจะเก่งเลยฟังไม่ค่อยรู้เรื่องบวกกับความง่วงที่เข้ามาทำให้ฉันเคลิ้มจนเกือบจะหลับอยู่แล้ว
แล้วในที่สุดการประชุมก็จบลง ฉันเองก็เดินเตาะแตะออกจากห้องประชุมไป
“นี่เดี๋ยวเธอ”อะไรกันเจอนายนัทนั้นอีกแล้ว
“มีอะไรล่ะ”
“เมื่อกี้เธอได้ฟังที่ฉันพูดรึเปล่า”
“ดะ..ได้ฟังซิอืมดีมากเลยนะที่นายพูดน่ะ” ฉันก็แกล้งโม้ไปอย่างนั้นแหละค่ะความจริงไม่รู้เรื่องอะไรเลยด้วยซ้ำ อยู่ดีหมอนั้นก็ยิ้มขึ้นมา
“นายยิ้มอะไร”
“เปล่าฉันอยาถามเธอว่าที่ประกาศให้ไปเลือกชมรมเมื่อกี้น่ะเธอได้ยินไหม” อ้าว ซวยแล้วซิ ฉันนี้ไม่ได้เรื่องเลย ขนาดเรื่องสำคัญยังไม่รู้จักฟังแล้วทีนี้จะทำไงขืนถามหมอนั้นก็ได้หน้าแตกพอดี
“ได้ยินซิ ได้ยินเอ๋เห็นเขาบอกว่าที่ไหนน้า...”
“ที่ลานธุรการฉันกำลังจะมาชวนเธอไปเลือกชมรมพอดี ว่าแต่เธอคิดจะอยู่ชมรมอะไรดีล่ะ” เขาถามฉัน แหะๆๆยังไงๆก็บาสฯหญิงอยู่แล้ว
“ฉันจะเลือกบาสฯหญิง”
“อืม ฉันเองก็กำลังคิดว่าจะเลือกบาสชายเหมือนกัน” อ้าวซะงั้น
“ก็ตามใจนายสิ งั้นฉันจะไปสมัครเข้าชมรมบาสหญิงนะแล้วเจอกัน ว่าแต่นายอยู่ห้องไหนล่ะ “
“ห้อง1” อะไรนะโลกกลมอีกแล้วดันอยู่ห้องเดียวกับฉันอีก
“อือห้องเดียวกันเลย งั้นฉันไปก่อนล่ะ” ฉันรีบวิ่งไปที่ชมรมบาสหญิงซึ่งคนแน่นมากๆฉันกลัวจะไปไม่ได้เข้าชมรมนี้น่ะสิ ฉันน่ะใฝ่ฝันว่าจะเป็นนักบาสของโรงเรียนมานานแล้ว โอ้ว ขอให้หยาดฝนได้อยู่ชมรมบาสหญิงทีนะคะ ว้าวๆๆ มาแล้วใบรายชื่อมาถึงมือฉันแล้ว อุ๊ยตาย ว้ายกรีดนี้ฉันคนสุดท้ายพอดีเลยเหรอนี้
“สวัสดีค่ะอาจารย์” ฉันยื่นใบให้อาจารย์หลังจากที่กรอกข้อมูลเสร็จแล้ว
“อืม นี่ทุกคนตอนนี้ทุกคนเข้ามาเป็นสมาชิกในชุมนุมแล้ว ครูขอถามก่อนว่าทุกคนในที่นี้เต็มใจมาสมัครกันใช่ไหมไม่ใช่เพราะถูกบังคับใดๆทั้งสิ้น
“ค่ะ”
“ดีมากงั้นไหนใครที่เล่นบาสเป็นยกมือขึ้นหน่อยค่ะ” ฉันยกมือขึ้น ส่วนเพื่อนๆคนอื่นๆก็ยกมือขึ้นเหมือนกัน
“โอเค มีคนเล่นบาสเป็นทั้งหมด34คนส่วนอีก16คนที่เหลือก็ไปหาครูแอร์นะ ส่วนพวกที่เล่นเป็นให้จับกลุ่มกลุ่มละ7 คนโดยจะมีอยู่กลุ่มหนึ่งที่มี6คน ด่วนด้วยนะคะ
“นี่เราขออยู่กลุ่มเธอด้วยนะ”มีเพื่อนสาวคนหนึ่งเดินเข้ามาขออยู่กลุ่มเดียวกับฉัน ฉันก็ไม่ปฏิเสธ ซักพักฉันก็หาสมาชิกได้ครบเจ็ดคนพอดี แล้วก็เลยต้องไปจับฉลากว่าจะแข่งคู่กับทีมใดฉันได้ทีมสุดท้ายเลยไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือเสียใจดีนะงานเนี้ย
2
“นี่สวัสดีจ๊ะ ไหนๆเราก็อยู่กลุ่มเดียวกันแล้วฉันขอทราบชื่อของทุกคนหน่อยนะจ๊ะ ส่วนฉันเองชื่อหยาดฝนจ๊ะ หรือเรียกสั้นๆว่าฝนก็ได้จ๊ะ” ฉันยิ้มให้เพื่อนๆในทีม จะพูดไปทีมของฉันก็มีแต่คนตัวสูงๆทั้งนั้นเลย ส่วนฉันน่ะเหรออยู่ประมาณกลางๆ ฉันเองก็สูง165 ซม. ก็ไม่ถึงกับเตี้ย
“ฉันชื่อเหมียวนะ” อืมเหมียวชื่อน่ารักดีจางเลย อุ๊ยน่าตาก็น่ารักด้วยตาสีทำตามแบบฉบับสาวสวยเข้มจริงๆ นะ
“ฉันชื่อเป้” อืมคนนี้ดูห้าวๆเหมือนผู้ชายแถมยังชื่อคล้ายผู้ชายด้วย ก็ดีดูเท่ห์ไปอีกแบบ
“ฉันชื่อ ริน” คนนี้ดูท่าจะเป็นคนที่มีความคิดก้าวไกลสังเกตุได้จากแว่นที่เธอใส่อยู่ ดูเป็นเด็กเรียนชะมัดยาด น่าคบน่าคบ
“ฉันชื่อซาโอริ” โอ๊ะโอ่เจอเพื่อนต่างชาติแล้วก็โรงเรียนของฉันมันเป็นรร.สากลนี่หน่าการมีเพื่อนต่างชาติเข้ามาเรียนถือว่าเป็นเรื่องปกติ คนนี้ดูออกแนวหวานๆน่ารักน่ารัก แต่ก็เป็นคนที่ตัวเล็กที่สุดในกลุ่ม แถมตาสีน้ำตาลอ่อนอีก อุ๊ยน่ารักชะมัดยาดเลย
“ฉันชื่อ ดาวนะ” คนนี้ดูท่าทางจะเป็นสาวเปรี้ยวที่ไม่ธรรมดาดูเป็นคนกล้าแสดงออกดี
“ฉันชื่อ น้ำ” คนสุดท้าย เธอคนนี้เป็นคนพูดจาตรงไปตรงมา ไม่พูดอ้อมค้อมทำอะไรรวดเร็วแบบเนี้ย ฉันชอบมากกก...เป็นไงล่ะ สมาชิกกลุ่มฉันมีหลายบุคลิกหลายแบบดีจริงๆ
“นี่ฝนแล้วเธออยู่ห้องอะไรล่ะ” รินถามฉัน
“อยู่ห้อง1จ๊ะ”
“อืมห้องเดียวกันเลย”
“อืมฉันก็อยู่ห้อง1เหมือนกัน” ดาวเสริม ขึ้นแล้วก็ตามมาด้วยคนอื่นๆสรุปว่าเพื่อนๆในกลุ่มฉันเราอยู่ห้องเดียวกันหมด แหะๆๆโลกกลมอีกแล้ว
“นี่แล้วพวกเราจะตั้งชื่อทีมว่าอะไรดีล่ะ” น้ำเสนอขึ้น
“อืมจริงด้วยซิ”เป้เสนอตามพลางค่อยๆหยิบทาโร่ที่ยัดไว้ในกระเป๋ากระโปรงขึ้นมาทานที่ล่ะเส้นสองเส้น ร้ายจริงๆเลยนะยัยเป้นี่
“แล้วเธอว่าไงล่ะฝน”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่เดี๋ยวก่อนเอ๋..”
“อะไรเธอนึกออกแล้วเหรอ”
“แหะๆฉันยังนึกไม่ออกน่ะ ซาโอริเธอช่วยคิดทีซิ” ฉันโยนคำถามไปให้ซาโอริ เพื่อนที่หน้าตาน่ารักที่ฉันเพิ่งรู้จักในวันนี้
“อืมงั้นชื่อ w.t.g. เป็นไง ดับบิวย่อมาจาก วินเนอร์ ส่วนที ย่อมาจากคำว่า teen ที่แปลว่าวัยทีน และตัวสุดท้าย จี ย่อมาจากทำว่าเกริ์ล เป็นไงบ้างชื่อนี้” อืมเข้าท่าดี ฉันชอบ
“อืมฝนโอเค”
“รินก็โอเค”
“เป้ก็โอเคฮับ” เป้ตอบทั้งๆที่ในปากเธอยังเขี้ยวทาโร่อยู่หมุบๆ
“ดาวก็โอเค”
“เหมียวก็โอเคค่ะ”
“เราไม่เรื่องมากอยู่แล้ว ตกลงชื่อนี้แหละ” พวกเราประสานมือกัน
“งั้นพูดว่าดับบิวทีจีสู้ นะ”
“ดับบิวทีจีสู้!!!” พวกเราร่วมกันเฮหรือจะเรียกว่าต้อนรับชื่อทีมก็ว่าได้
“เฮ้ยวันนี้เลิกครึ่งวันใช่ไหม” น้ำเอ่ยขึ้น
“อืม” ฉันผงกศรีษะเบาๆ
“งั้นไปเที่ยวกันไหม” อึ้ย จะดีเหรอ ฉันเองก็ยังไม่เคยออกไปเที่ยวกับพวกเพื่อนๆเลยซักครั้ง จะบอกว่าพ่อแม่ไม่ให้ไปก็ไม่ได้ ต้องบอกว่าพ่อฉันหวงลูกสาวมากกว่า ขนาดส่งไปเรียนคาราเต้จนได้สายดำมาแล้ว พ่อสุดที่รักยังไม่เคยปล่อยให้ฉันไปเที่ยวเลยซักครั้ง ฮือๆๆเศร้าจัง
“อืมดีๆๆ ดาวเองก็อยากไปดูเสื้อผ้าด้วย” ดาวเก็บกระจกที่ถืออยู่ในมือลงในกระเป๋าพร้อมกับยิ้มอย่างพอใจ
ส่วนเพื่อนคนอื่นๆก็ดูท่าไม่มีปัญหากันทั้งนั้น ก็เหลือแค่ฉันนี้แหละ
“นี่แล้วฝนล่ะไปด้วยกันไหม”
“เอ่อ...คือ..เออใช่ ลืมไปเลย ฉันคงไปกับพวกเธอไม่ได้แล้วล่ะ วันนี้ฉันต้องพาเจ้า ลัคกี้ กระรอกที่ฉันเลี้ยงไว้ไปหาหมอน่ะ มันไม่สบาย นี่ฉันก็เกือบลืมไปเลยนะเนี่ยงั้นไว้โอกาสหน้านะถ้าจะไปก็บอกล่วงหน้าด้วยฉันจะได้บอกทางบ้านไว้” ฉันนี่แย่จริงเกือบลืมเจ้าลัคกี้ กระรอกตัวโปรดไปแล้วไหมล่ะ
“อืมไม่เป็นไรงั้นวันนี้พวกเราไปกันแค่หกคนล่ะกันเนอะ แล้วพรุ่งนี้เจอกันนะฝน” ฉันโบกมือให้เพื่อนใหม่ทั้งหกคนนั้น พวกนั้นหมุนตัวแล้วพากันเดินจากไปเหลือแต่ฉันคนเดียว
อะไรกันทำไมเวลามันเดินเร็วขนาดเนี้ย ยังไม่ทันหายเหนื่อยก็เลิกซะแล้ว อืมรีบกลับบ้านพาเจ้าลัคกี้ไปหาสัตว์แพทย์ดีกว่า
ฉันเดินออกจากโรงเรียน ไปที่บ้าน
..............................
“กุกกักๆ!!!” ฉันถอดรองเท้าวางไว้ที่หน้าประตู ก่อนจะวิ่งทุลักทุเลเข้าบ้านไปดูเจ้าลัคกี้ กระรอกสีขาวขนปุยที่ฉันรักมาก เรียกได้ว่าเป็นเพื่อนรักของฉันเลยก็ว่าได้ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไร ฉันก็มักจะมาระบายกับเจ้าลัคกี้ แล้วอีกอย่างเจ้าลัคกี้ก็ไม่เคยเอ่ยเถียงฉันซักแอะ ก็จะเถียงฉันได้ยังไงเล่าก็เจ้าลัคกี้เป็นกระรอกยังไงก็พูดไม่ได้อยู่แล้ว อิอิ
“ลักกี้จ๊ะ ฝนมาแล้ว” อ้าวทำไม่เจ้าลัคกี้ไม่ส่งเสียงเหมือนทุกวันล่ะ หรือว่าจะเป็นเพราะไม่สบาย ฉันเดินเข้าไปที่ห้องนอน พร้อมกับตรงดิ่งไปที่กรงของเจ้าลัคกี้ ฉันเห็นเจ้าลัคกี้นอนอยู่ ปกติเวลาฉันเข้ามามันมักจะตื่นนะ แต่นี้มันไม่ตื่น เอาล่ะซิ สงสัยฉันคงต้องรีบพาลัคกี้สุดที่รักไปหาหมอซะแล้ว
ฉันหอบกรงขนาดกลางของเจ้าลัคกี้เดินออกจากบ้านเพื่อไปที่คลีนิก ที่ห่างจากบ้านหลายกิโล เหมือกันแต่ก็ไม่ไกลมากนัก
ฉันเดินมาได้ซักพักอยู่ดีดีฟ้าก็ครึ้มแล้วฝนเม็ดเล็กก็เริ่มโปรยลงมา ตายแล้วเอาไงดีอีกตั้ง3กิโลกว่าจะถึงคลีนิค เรื่องเปียกฝนฉันเองก็ไม่ห่วงหรอกห่วงก็แต่เจ้าลัคกี้นี่สิยิ่งไม่สบายอยู่ด้วย
แงๆ!!!ฝนเริ่มตกหนักแล้ว ฉันก้มโอบกรงของเจ้าลัคกี้ไว้แต่แล้วอยู่ๆก็มีร่มคันนึงยื่นมาบังฉันกับเจ้าลัคกี้ไว้ ฉันแหนงหน้าดูก็พบว่าคนที่ช่วยฉันไม่ใช่ใครที่ไหนสุภาพบุรุษคนเดิมอีกแล้ว
“นายนัท!!” ฉันอุทานออกไป นัทยิ้มบางๆ
“อืมก็ฉันน่ะสิคิดว่าเป็นซุปเปอร์สตาร์ฮอร์ลิวูดรึไงครับ” โห๋คิดได้ไงเนี่ย สายตาฉันมันคงไม่ฝ้าฝางถึงขนาดเห็นนายเป็นดาราฮอร์ลิวูดไปได้หรอก นึกแล้วก็อยากขำให้หลุดโลกไปเลยนะเนี่ย
“นี่นายหลงตัวเองมากไปแล้ว ฉันว่าแค่ดาราตัวประกอบนายยังล่อแล้ล่อแล้อยู่เลย” ฉันขำออกมาเบาๆ แต่ถ้าพูดจริงๆก็อย่าว่าแต่ดาราตัวประกอบเลยน่าตาอย่างนายนี้ฉันว่าเป็นดาราจอแก้วได้สบายๆเลย
“นี่เธอจะไปไหนผมจะได้กางร่มไปส่งให้”
“จะพาเจ้าลัคกี้กระรอกที่อยู่ในกรงนี้ไปหาสัตว์แพทย์ที่คลีนิกน่ะ”
“แล้วคลีนิคไหนล่ะครับแล้วอย่างนี้ผมจะไปส่งคุณถูกไหมเนี่ย” นายนัททำหน้างุนงง
“คลีนิครักสัตว์ที่อยู่ข้างกับร้านบะหมี่น่ะ”
“อืม..งั้นไปกันเถอะ”
“นี่นายจะไปส่งฉันจริงๆเหรอเนี่ยฉันคิดว่านายจะพูดเล่นซะอีกเกรงใจจัง”
“ไม่เป็นไรหรอกว่าแต่เธอเถอไม่รีบไปเดี๋ยวกระรอกน้อยของเธอจะตายซะก่อนนะ” จริงด้วยซิ อดทนก่อนนะเจ้าลัคกี้สุดทีร้าก..กก.ของฉัน ฉันลุกขึ้นยืนพลางถือกระเจ้าลัคกี้ แต่ก็ถูกนายนัทนั้นฉวยไปถือแทน
“นี่นายเดี๋ยวฉันถือเองดีกว่า” ฉันพยามดึงกรงเจ้าลัคกี้มาถือแต่ก็ไม่เป็นผลเพราะนายนัทนั้นแข็งแรงมาก ฉันสู้แรงเขาไม่ไหวจริงๆ เขาไม่ยอมให้ฉันถือกรงของเจ้าลัคกี้
“ไม่เป็นไรกรงนี้ก็หนังไม่เบาเดี๋ยวฉันถือให้เอง”
“งั้นให้ฉันถือร่มให้ก็แล้วกันนะ จะได้ไม่กินแรงนาย”
“ก็ได้” เขายื่นร่มให้ฉันถืออย่างโดยดี ฉันกับนายนัทแล้วก็เจ้าลัคกี้พากันเดินไปเรื่อยๆจนในที่สุดก็ถึงคลีนิคจนได้ ฉันไม่รอช้ารีบพาเจ้าลัคกี้เข้าไปหาหมอทันทีโดยมีนายนัทตามเข้าไปด้วย
ฉันยื่นบัตรให้พนักงานที่เคานท์เตอร์ก่อนจะเดินเข้าไปยังห้องตรวจหมายเลข1
“สวัสดีครับ” คุณหมอยิ้มให้ฉัน ฉันวางกรงของเจ้าลัคกี้ลงบนโต๊ะ
“สวัสดีค่ะ” ฉันยกมือขึ้นไหว้คุณหมอ
“เจ้านี่เป็นอะไรเหรอครับ”
“คือว่ามันซึมๆน่ะคะแล้วนี้ก็นอนสั่นๆด้วยกินอาหารน้อยลงอีกต่างหากค่ะ”
หลังจากที่ฉันอธิบายอาการของเจ้าลัคกี้ให้หมอฟังหมอก็ตรวจเจ้าลัคกี้ซักพักก่อนจะเงยหน้าขึ้นเขียนใบสั่งยา(ทำอย่างกะเป็นคนน่ะ)
“นี่ครับ หมอสั่งยาให้ตามนี้นะครับ เจ้า..เอ่อ..”
“ลัคกี้ค่ะ”
“เอ่อ..ครับเจ้าลัคกี้มันไม่เป็นไรมากหรอกครับแค่เป็นไข้หวัดครับส่วนยานี่ก็ผสมกับอาหารที่ให้เค้าทานนะครับ” คุณหมอยิ้มให้ฉัน
“กระแอมกระแอม ตรวจกันเสร็จแล้วใช่ไหมครับ งั้นก็ไปได้แล้ว” อยู่ดีนายนัทนั่นก็ขัดจังหวะขึ้นมาเสียมารยาทจริงๆหมอนี่ แถมยังดันฉันกับเจ้าลัคกี้ออกมาอีก ฉันยื่นใบสั่งยาให้พนักงานที่เคานท์เตอร์ซักพักพนักงานก็เรียกฉันไปรับยา จากนั้นฉันก็เดินออกมาที่หน้าคลีนิค
“นี่นายฝนก็หยุดตกแล้ว ฉันคงไม่รบกวนนายแล้วล่ะ”
“ได้ไงเธอยังไม่ได้ตอบแทนฉันเลยนะ”
“อะไรกันที่นายช่วยฉันเพราะหวังผลเหรอ”
“เปล่าก็ไม่เชิงหรอกเพียงแต่ท้องมันร้องแล้ว ถ้าไม่รังเกียจล่ะก็ช่วยไปทานข้าวเป็นเพื่อนฉันหน่อยก็แค่นั้นเรื่องค่าอาหารน่ะเดี่ยวฉันเลี้ยงเอง” อืมพูดถึงมันก็ไม่ได้เสียหาย แถมพาไปเลี้ยงข้าวด้วย อิ่มจังตังค์อยู่ครบ ดีๆๆฉันชอบ
“ก็ได้” ฉันรับคำนายนัท นายนั้นพาฉันกับลัคกี้เดินเข้าไปร้านอาหารแห่งหนึ่งไม่ถึงกับหรูมากแต่ก็หรูพอควร เขาเลือกนั่งโต๊ะริมหน้าต่างมุมซ้ายสุดของร้าน
“สวัสดี นัทชา อ้าววันนี้พาแฟนมาด้วยเหรอ” อึ้ยอยู่ดีฉันก็ถูกหมิ่นประมาทว่าเป็นแฟนของหมอนั่นซะแล้ว
“เปล่า ยัยนี่ไม่ใช่แฟนฉัน”
“เอ่อช่างแกเถอะ ว่าแต่วันนี้ลมอะไรหอบแกมาร้านฉันวะ”
“ลมอะไรก็ช่างเหอะตอนนี้ฉันหิวจนใสจะขาดอยู่แล้ว”
“อาหารน่ะมีแน่แต่วันนี้แกไม่คุมลูกน้องเหรอวะ”
“แกหยุดพูดไปเลยนะ ไอ้เทพ ฉันไม่อยากพูดเรื่องนี้แกก็รู้ว่าฉันไม่ชอบธุรกิจแบบนี้แล้วก็ไม่อยากฟังอะไรที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย เข้าใจไหมถ้าเรายังเป็นเพื่อนกันอยู่” สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปจากเดิมมากแววตาเขาดูจริงจังและลึกลับเหมือนหลบซ้อนอะไรบางอย่างที่ฉันไม่อาจเข้าถึง
“อือ แล้วนี่สนใจเบียร์ด้วยเปล่า”
“ถ้ามีก็ได้ แต่เอามาแค่กระป๋องเดียวก็พอนะ”
“นายอยู่แค่ม.ปลายปี1 หรือถ้าจะเทียบกับโรงเรียนที่ไม่ใช่รร.อินเตอร์ก็คือแค่ม.4เองอายุก็ยังไม่ถึง18 ตามกฎหมายเขาไม่ให้กินเหล้านิ”
“โห๋ เธอนี่ไร้เดียงสาน่ารักดีนะ นี่ถ้ายังไม่มีแฟนก็ช่วยรับเทพรูปหล่อคนนี้ไว้พิจารณาด้วยนะครับ”
“ฝันไปเหอะ” เชอะยังไงฉันก็ไม่ชอบหรอก ผู้ชายที่จะมาเป็นแฟนฉันต้องดูแลตัวเองและดูแลฉันได้อย่างนายฉันแตะทีเดียวก็เดี้ยงแล้วมั้ง นายเทพ
“อ้าวทำไปพูดจาแบบนั้นล่ะสาวน้อย”
“นี่พอได้แล้ว ใครบอกว่ายัยนี้ยังไม่มีแฟน” อยู่ดีนายนัทนั้นก็แทรกขึ้นมาอีกแล้ว
“ก็นายไงไอ้นัท”
“ฉันก็แค่หลอกนาย ยัยนี้น่ะแฟนฉัน” อะไรกันอยู่ดีก็มาบอกว่าฉันเป็นแฟนนาย นายบ้าไปแล้วเหรอตานัท อุ๊บ!!...ว้าย จู่ๆนายนัทนั่นก็หอมแก้มฉัน ว้ายตายแล้วตายแล้ว เสียศักดิ์ศรีสาวพรหมจรรย์หมด
“ทีนี้นายคงเข้าใจแล้วนะไอ้เทพ แล้วเบียร์น่ะฉันไม่เอาแล้วขอเป็น หมูแดงอบซอสเกาหลี 1 ข้าวกระเทียม2 แกงจืดสาหร่าย แล้วก็ กุ้งชุบแป้งทอดก็พอ”
“เออได้ “ เทพนิ่งไปซักพักก่อนจะไปสั่งอาหารตามที่เพื่อนชาย(นายนัท)บอก
“เมื่อกี้นายทำบ้าอะไรน่ะ”
“ก็จุ๊บเธอไง”
“นายนี่คนเจ้าเล่ห์แล้วก็ฉวยโอกาสที่สุด”
“ก็ฉันไม่อยากให้ไอ้เทพมายุ่งกับเธอนิ”
“ฉันจะยุ่งกับใครมันก็เรื่องของฉันแล้วนายล่ะมีสิทธิ์อะไร”
“เอ่อ....ไว้สักวันฉันจะตอบเธอนะ” นายนั้นพูดตัดบท พร้อมกับดูดน้ำในแก้วอย่างสบายอารมณ์ส่วนฉันตอนนี้ก็กำลังถูรอยจูบที่ได้มาอย่างไม่ตั้งใจ
“นี่แล้วพ่อแม่เธอทำงานอะไรล่ะ”
“พ่อแม่ฉันน่ะเหรอทำธุรกิจส่วนตัวน่ะเปิดร้านขายเครื่องเขียนแถวนี้อยู่น่ะ พูดก็พูดเหอะพอคิดเรื่องนี้ทีไรทำให้นึกถึงไอ้พวกบ้ามาเฟียทุกทีเลย ฉันน่ะเกียจพวกนี้เข้าไส้เลยจริงๆ” นัทพักจากการดูดน้ำใบหน้าเขาดูเศร้าลงอย่างเห็นได้ชัด
“นี่เธอเกียจพวกมาเฟียขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ก็ใช่น่ะสิ ก็พวกมันวันๆเอาแต่รีดไถ่เก็บค่าคุ้มครองจากพวกพ่อค้าแม่ค้า ขนาดป้าตาดำๆที่ขายของไม่ได้เลยซักชิ้นเจ้าพวกนี้ก็ยังไม่วาย มารีดไถ่แถมยังทำร้ายพวกเขาอีก ฉันน่ะถ้าต้องไปสนิทสนมกับพวกมาเฟียล่ะก็ฉันว่าฉันขออยู่คนเดียวจะดีกว่า” ฉันเท้าคางพูดอย่างจริงจัง
“แต่บางทีพวกมาเฟียอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่เธอคิดซะทุกคนก็ได้น่ะ บางทีที่เขาต้องเป็นมาเฟียอาจจะเป็นเพราะความจำเป็นบางอย่างก็ได้”
“นี่นายเข้าข้างพวกนั้นเหรอแต่ฉันไม่เห็นว่าจะมีความจำเป็นอะไรที่ต้องเป็นมาเฟียเลยนิ คนเราน่ะเลือกที่จะเป็นได้ไม่ใช่เหรอ ชีวิตเรา เราสามารถบงการตัวเองได้ ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาบังคับ”
“ก็จริงของเธอ….แต่คนเราก็ไม่สามารถเลือกเกิดได้นิ” ประโยคแรกที่เขาพูดฉันพอได้ยินแต่ประโยคต่อจากนั้นเขาพึมพำอะไรก็ไม่รู้ สักพักอาหารที่สั่งก็มา ฉันกับเขาลงมือทานกันจนเสร็จ แล้วเขาก็ยังพาฉันกับเจ้าลัคกี้ไปส่งที่บ้าน อีก ฉันชักปลื้มในความดีของนายคนนี้ขึ้นมาแล้วซิ พรุ่งนี้จะเป็นยังไงฉันไม่รู้แต่ตอนนี้ฉันขอนอนก่อนดีกว่า ฉันปิดไฟข้างเตียงพร้อมกับล้มลงนอนบนเตียงนุ่มก่อนจะหลับไปอย่างง่ายดาย ส่วนเจ้าลัคกี้น่ะเหรอฉันให้มันกินยาแล้วคาดว่าพรุ่งนี้อาการคงจะดีขึ้นนะ

No comments: