Thursday, November 13, 2008

~อุ่นไอรัก...สัมผัสใจ

นิยายเรื่อง ถัดมา
~อุ่นไอรัก...สัมผัสใจ
บทนำ~
“เซ็งโว้ย!” เสียงตะโกนบ่นพร้อมกับเสียงประตูปิดอย่างแรงทำให้ผู้ที่นั่งหมิ่นเหม่อยู่ตรงขอบโต๊ะทำงานเกือบจะพลัดตกโต๊ะด้วยความตกใจ จนถึงกับสบถคำออกมาอย่างหัวเสียแล้วจ้องหน้าคนที่ยืนทำหน้าบอกบุญไม่รับเขม็ง
“ไอ้กริช! ทำไมก่อนเข้ามาไม่เคาะประตูก่อนวะ”
“โทษทีโว้ย ข้ากำลังกลุ้ม” พูดจบก็ทิ้งตัวลงบนโซฟานุ่มที่อยู่อีกฝั่งของห้องแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ ร่างกำยำในชุดสีเขียวเอนกายพิงพนักอย่างอ่อนแรง
“เอ็งรู้มั้ย วันนี้ข้าเจออะไรมา”
“ข้าจะไปรู้กะเอ็งเรอะ! จะเล่าก็เล่ามาเถอะน่า ” คนที่ดูเหมือนมีเรื่องกลุ้มใจราวกับแบกโลกไว้ทั้งใบ ถอนหายใจออกมาอีกเฮือกใหญ่ แต่ก็ยังคงเงียบเช่นเดิมจนอีกฝ่ายต้องถมย้ำอีกครั้ง
“ว่าไงวะ ตกลงเอ็งจะเล่าให้ข้าฟังมั้ยวะ นั่งถอนหายใจเฮือกๆอยู่ได้!”
ดวงตาเรียวคมกริบตวัดมองเพื่อนสนิทเพียงแวบเดียวก่อนบอกสั้นๆ “แม่ข้าจะจับข้าแต่งงาน”
“หา! นี่ข้าฟังผิดรึเปล่าวะ แม่เอ็งจะจับเอ็งแต่งงานงั้นหรือวะ”
“เออ!” เมื่อได้รับคำตอบเช่นนั้น ห้องทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบเพียงชั่วครู่ ก่อนเสียงหัวเราะอันบาดแก้วหูคนฟังจะดังสน่นลั่นห้อง
“สมควรแล้วว่ะไอ้กริช! ดีใจด้วยนะโว้ย จะได้มีเมียเป็นตัวเป็นตนเสียที”
“จะบ้าเหรอวะไอ้ภู! ดีใจบ้าอะไร! ข้าน่ะกลุ้มใจจะตาย กะจะให้เอ็งช่วยคิดหาทางแก้ไขหน่อย ดันมาเยาะเย้ยเสียได้” น้ำเสียงโมโหของคมกริชทำให้ภูมินทร์ถึงกับหยุดหัวเราะทันควัน แต่ยังไม่วายอมยิ้มน้อยๆก่อนเสนอทางแก้ปัญหาที่ทำให้อีกฝ่ายยิ่งกลุ้มใจหนักขึ้นไปอีก
“จะไปยากอะไรวะ...เอ็งก็หาแฟนสักคนแล้วรีบแต่งงานซะก็สิ้นเรื่อง”
“เอ็งเมารึเปล่าวะ! ใครมันจะไปหาแฟนได้ง่ายขนาดนั้นเล่า!” คมกริชทำเสียงฮึดฮัดอย่างขัดใจในสิ่งที่เพื่อนแนะนำ
“ก็เอ็งมันเลือกมากเองนี่หว่า คนนู้นก็ไม่ใช่ คนนี้ก็ไม่ใช่ เอ็งก็รู้ดีว่าแม่เอ็งน่ะอยากอุ้มหลานใจจะขาด นี่คงรอเอ็งไม่ไหวแล้วล่ะซิ ถึงได้จัดการหาเมียให้เลยน่ะ” เมื่อเห็นเพื่อนรักนั่งกุมขมับอย่างคิดไม่ตก ภูมินทร์จึงทำท่าครุ่นคิดครู่หนึ่ง
“งั้นก็เหลือทางเดียว....” คำพูดนั้นทำให้คมกริชเงยหน้าขึ้นมองด้วยประกายตามีความหวัง
“เอ็งก็หาผู้หญิงสักคนมาแสดงเป็นแฟนหรือเมียก็สิ้นเรื่อง”
“ความคิดเอ็งก็ดีนะ....แต่จะให้ข้าไปหาผู้หญิงที่ไหนมาแสดงเป็นแฟนล่ะ” คำถามนั้นทำให้ภูมินทร์ได้แตเพียงยักไหล่เท่านั้นเพราะไม่รู้คำตอบเช่นเดีวกัน

แสงจันทร์ลอยเด่นกระจ่างฟ้าแต่กลับไม่ได้ทำให้คนสองคนภายในรถกลางเก่ากลางใหม่สีดำซึมซับบรรยากาศรอบตัวเลยสักนิด ชายฉกรรจ์ในชุดดำตั้งหน้าตั้งตาขับรถโดยไม่สนใจหญิงสาวในชุดมอมแมมข้างตัวเลยแม้แต่น้อย แววตาคมกริบบ่งชัดถึงความอำมหิตหันมามองเพียงชั่วแวบก่อนหันกลับทางเดิม
นั่น...ทำให้คนที่ถูกมักมือมัดปากทำเสียงฮึดฮัดในลำคอ แล้วกระทืบเท้าลงบนพื้นรถอย่างแรง เท่านั้นยังไม่พอ เจ้าตัวยังยกมือขึ้นทุบกระจกติดกันหลายครั้งจนอีกฝ่ายรำคาญต้องหกันมาตะคอกใส่
“นี่! นั่งเงียบๆเป็นมั้ย อยากตายเร็วๆหรือไง!” แต่ทว่า...เสียงตวาดนั้นไม่ได้ทำให้หญิงสาวกลัวเลยสักนิด แต่เจ้าตัวกลับมองชายหนุ่มด้วยประกายตาลุกเป็นไฟ และยิ่งทุบกระจกรถแรงขึ้นๆจนอีกฝ่ายทนไม่ไหวต้องจอดรถข้างทางที่มีแต่ดงหญ้ารกๆอย่างกะทันหัน
“อยากตายนักใช่มั้ย ได้...” ร่างสูงใหญ่ก้าวลงจากรถแล้วดินอ้อมไปฉุดกระชากร่างเล็กบางออกมาอย่างไม่ปรานีปราศรัย มือข้างหนึ่งคว้ามีดเล่มบางที่คาดเอวไว้ออกมาช้าๆ แสงวาววับจากใบมีดสะท้อนแสงจันทร์เป็นประกาย
ดวงตากลมโตจ้องมองใบมีดนั้นนิ่งนาน...หากมันไม่ได้มีความกลัวอยู่ในแววตาคู่นั้นแม้แต่น้อย แต่กลับมีเพียงความโกรธแค้น มุ่งมั่น เธอได้แต่คิด....หากมีดเล่มนั้นตกอยู่ในมือเธอแทนที่จะอยู่ในมือคนชั่วใจโฉดคนนี้แล้วล่ะก็ เธอจะไม่รีรอเลยที่จะปาดคอมันให้มันแดดิ้นสิ้นใจเสียตรงนี้ !
“ถ้าอยากรีบตายนัก ไอ้วิลันคนนี้ก็จะสงเคราะห์ให้...” แววตากระหายเลือดฉายชัดจนคนที่ตกเป็นเหยื่อต้องสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ยาว ...ใช่ว่าเธอจะกลัว หากเธอต้องการแรงในการวิ่งหนีต่างหากเล่า!... เท้าเล็กๆยกขึ้นกระทืบลงบนเท้าใหญ่สุดแรง และได้ผล! เมื่อมือใหญ่ปล่อยมือจากมือเล็กแล้วมากุมเท้าด้วยความเจ็บปวด
“หนอย...ยัยตัวแสบ ฤทธิ์มากนักนะ”คนตัวเล็กออกวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต เมื่อมันเห็นดังนั้นไอ้คนใจโฉดก็ยังไม่ปล่อยเธอไปง่ายๆ มันพุ่งมีดพุ่งรงไปยังหญิงสาว แต่ดีที่เธอเบี่ยงหลบทันจึงโดนคมมีดบาดเพียงต้นแขนเท่านั้น แม้จะเจ็บเพียงใดหากเจ้าตัวยังคงตั้งหน้าตั้งตาวิ่งเพราะรู้ดีว่า ขืนหยุดวิ่งเพียงวินาที...ตัวเธอเองจะไม่มีชีวิตรอดอยู่บนโลกใบนี้อีกต่อไป !
แต่แล้ว...ราวกับสวรรค์ทรงโปรดเมื่อแสงไฟหนเรถคันหนึ่งส่องสว่างมาจากทางโค้งด้านหน้า ร่างบางแทบกระโดดตัวลอยด้วยความดีใจ หญิงสาวรีบวิ่งออกไปกลางถนนในทันที
เอี๊ยด!
เสียงล้อรถบดถนนดังลั่นพร้อมกับเสียงสบถอย่างโมโห ชายคนขับจ้องมองไปเบื้องหน้าอย่างตั้งใจ เขาเห็นเงาตะคุ่มๆหยุดยืนอยู่หน้ารถ เมื่อแน่ใจว่าเป็นคนจึงเปิดประตูลงจากรถ
“นี่คุณ...เกิดอะไรขึ้นน่ะ”
ปัง! ปัง! เสียงปืนระรัวจากดงหญ้ารกข้างทางทำให้เจ้าตัวต้องรีบหลบทันควัน พลางชักปืนที่คาดเอวไว้ออกมายิงสวนกลับไป พร้อมกับมองหาคนที่วิ่งออกมาตัดหน้ารถเขา แต่บัดนี้กลับพบเพียงความว่างเปล่า
“อ้าวเฮ้ย! …หายไปไหนแล้ววะ”
ปัง!
“แล้วไอ้หมาตัวไหนมันมาดักยิงกูวะ เอ...หรือว่า...”
“อื้อ...อื้อ” เสียงอู้อี้ข้างตัวทำให้คมกริชตื่นจากภวังค์แล้วหันไปมองในทันที ภาพที่ปรากฏแก่สายตาคือ ร่างเล็กบางของใครคนหนึ่งถูกมัดมือมัดปากแน่น ดวงตากลมโตมีประกายร้อนรนชัดเจน เจ้าตัวพยักหน้าขึ่นลงๆ พร้อมกับยื่นมือที่ถูกมัดมาให้
ปัง! เสียงปืนอีกนัดทำให้ชายหนุ่มต้องหันเหความสนใจไปอีกทางแล้วยิงสวนกลับไป ก่อนหันมาแก้มัดให้คนข้างตัว
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย”
“อย่าเพิ่งถามเลย ช่วยพาฉันหนีก่อนเถอะ ” เสียงใสๆบอกอย่างเร่งร้อนและใช้จังหวะที่เขายังงุนงงต่อเหตุการณือยู่คว้าปืนจากมือใหญ่แล้วยิงสวนกลับไป แล้วรีบกระโดดขึ้นรถทางเบาะหลัง
“รีบขึ้นรถเร็วสิคุณ” นั่น...ทำให้เจ้าของรถรีบกระโดดขึ้นรถแล้วขับพุ่งออไปอย่างรวดเร็ว
เสียงปืนจากทางด้านหลังยังคงดังไม่ขาดสาย จนกระทั่งขับมาได้ระยะหนึ่งเมื่อเห็นว่าไม่มีใครตามมา คนที่ตั้งหน้าตั้งตาขับรถหนีมาตลอดทางก็ค่อยๆผ่อนความเร็วลง
“ทีนี้บอกผมได้รึยังว่าเกิดอะไรขึ้น”
...เงียบ...
“คุณ!”
เมื่อไม่มีเสียงตอบกลับมา เขาจึงหันหลังกลับไปมองจึงพบว่าหญิงสาวนอนหลับปุ๋ยอยู่บนเบาะหลังเรียร้อยแล้ว
“เฮ้อ! …วันนี้มันวันซวยอะไรวะเนี่ย!” ชายหนุ่มอดบ่นออกมาอย่างเซ็งๆไม่ได้
“สงสัยพรุ่งนี้ต้องไปทำบุญล้างซวยซะหน่อยแล้วเรา...”
1
ร่างบางในชุดสกปรกมอมแมมนอนคุดคู้อยู่บนเตียงโดยที่คนที่อุ้มเธอมานั่งตรงเก้าอี้ข้างเตียงไม่ห่างไปนัก ดวงตาเรียวยาวจ้องมองวงหน้านวลอย่างพิจารณา เส้นผมยาวสลวยที่ตอนแรกมัดเป็นมวยไว้ด้านหลัง ยามนี้กลับหลุดลุ่ยลงมาปิดบังใบหน้าไว้ส่วนหนึ่ง “เฮ้อ...นี่มันเกิดอะไรขึ้นวะ ทำไมเจอแต่เรื่องเดือดร้อนทั้งวัน ตอนเช้าแม่เรียกไปคุยเรื่องแต่งงาน พอตกกลางคืนเกือบโดนยิงตายเพราะผู้หญิงอีก! ให้ตายเถอะ! ผู้หญิงนี่มีแต่หาเรื่องเดือดร้อนมาให้ ขืนแต่งงานไปล่ะก็มีหวัง...ซวยซ้ำซวยซ้อน ซวยทั้งปีทั้งชาติ!” คิดไปคิดมาเจ้าตัวก็ได้แต่เสียวสันหลังวาบๆ แถมยังอธิษฐานวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์เสียด้วยซ้ำ “สาธุ...ขอให้เนื้อคู่ของลูกยังไม่เกิดทีเถอะ!” ว่าแล้วก็ถอนหายใจยาว พร้อมกับที่หญิงสาวที่นอนสลบไสลเริ่มขยับตัวไปมา คมกริชจึงยื่นหน้าเข้าไปมองใกล้ๆ เป็นจังหวะเดียวกับที่ดวงตากลมโตลืมขึ้นมาอย่างกะทันหัน “นี่คุณ...จะทำอะไรน่ะ” ร่างบอบบางออกแรงผลักสุดแรงแต่คนตัวโตกลับไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย เจ้าตัวเลยต้องเป็นฝ่ายกระเถิบหนีเสียเอง “ผมไม่ได้คิดทำอะไรคุณหรอกน่า แค่อยากดูให้แน่ใจว่าคุณไม่เป็นอะไรก็เท่านั้น” พูดจบก็ก้าวขึ้นเตียงคว้าแขนหญิงสาวเข้ามาใกล้ๆ แล้วก้มหน้าลงมาจนเกือบชิด “บาดเจ็บอะไรตรงไหนรึเปล่าเนี่ย” ดวงตายาวเรียวภายใต้เปลือกตายาวราวผู้หญิงทำให้ร่างเล็กที่เหมือนถูกกอดไว้กลายๆมองอย่างแปลกใจ ....ผู้ชายอะไรหน้าสวยอย่างกับผู้หญิง.... “ไม่เห็นมีบาดแผลตรงไหนเลยนี่ แสดงว่าไม่เป็นอะไร” เมื่อรับรู้ว่าคนตรงหน้าไม่เป็นอะไร ริมฝีปากหยักได้รูปก็แย้มยิ้มอย่างโล่งอก “ถ้าไม่เป็นอะไรแล้ว ทีนี้จะเล่าได้รึยังว่าเกิดอะไรขึ้น” ได้ยินคำถามแล้วทำให้คนฟังถึงกับหันรีหันขวาง “ว่าไงล่ะ... สงสัยคุณต้องไปแจ้งตำรวจแล้วล่ะมั้ง” วงหน้านวลเริ่มซีดลงๆ หญิงสาวนั่งครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนบอกสั้นๆ “มันเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่ร้ายแรงอะไรหรอก” ได้ยินดังนั้นคมกริชถึงกับหน้าเหวออย่างไม่เข้าใจ ...ก็ไอ้ที่เขาเห็นน่ะมันเป็นการจงใจฆ่าชัดๆ! แล้วยังจะมาบอกว่าไม่ร้ายแรงอะไรเนี่ยนะ...

“มันก็แค่มีเรื่องเข้าใจผิดนิดหน่อยน่ะ จริงๆนะ... ” เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังคงเงียบ เจ้าตัวเลยทำเสียงจริงจังยืนยันว่าไม่ใช่เรื่องหนักหนาสาหัสอะไร

“จริงๆนะคุณ...มันเป็นแค่การเข้าใจผิด และฉันก็อยากขอร้องอัไรคุณอย่างหนึ่ง”คมกริชเลิกคิ้วเป็ฯคำถาม

“ฉันขอพักอยู่ที่สักระยะได้มั้ย”

“นี่แสดงว่าหนีอะไรมาแน่ๆเลยใช่มั้ย สงสัยผมคงต้องแจ้งตำรวจแล้วล่ะ” ได้ยินดังนั้นสาวน้อยร่างบางก็รีบร้องห้ามเสียงหลง

“อย่านะ! คุณอย่าแจ้งตำรวจเลย ฉันขอร้องล่ะ จะให้ฉันทำอะไรก็ได้ แต่ขออย่างเดียวอย่าแจ้งตำรวจเลยนะ” คมกริชเหล่มองคนตัวเล็กอย่างสงสัย

“คุณไปทำอะไรผิดกฎหมายมาหรือยังไงถึงได้กลัวตำรวจนัก”

“เปล่านะ...ฉันไม่เคยทำอะไรผิดกฎหมาย!” คนที่ถูกกล่าวหารีบเถียงเสียงหลง

“เอาเถอะ...ดูๆแล้วคุณก็ไม่น่าจะใช่คนอย่างนั้น ผมอนุญาตให้คุณอยู่ที่นี่สักพัก และที่สำคัญผมจะไม่แจ้งตำรวจด้วย “ รอยยิ้มยินดีปรากฏบนริมฝีปากเรียวบาง แต่กลับต้องหุบกะทันหันเมื่อเสียงห้าวๆเอ่ยขึ้นมาว่า

“แต่มีข้อแม้....คุณต้องแสดงละครเป็นแฟนผม”

“หา!”

“ไม่หาแล้วคุณ ผมกำลังเดือดร้อนจริงๆ ผมต้องการผู้หญิงมาเป็นแฟนผมเพื่อเล่นละครตบตาแม่ผม ไม่อย่างนั้นผมโดนจับแต่งงงานแน่ หรืออยากให้ผมแจ้งตำรวจ?” เจอไม้นี้เข้าเจ้าตัวถึงกับรีบตอบตกลงทันควัน

“ก็ได้ๆ ฉันตกลง” คำตกลงนั้นทำให้คมกริชยิ้มออกมาอย่างสมใจ

“ทหารอะไรวะ..รังแกผู้หญิง” แม้เจ้าตัวจะพึมพำเพียงเบาๆ แต่คนหูดีกลับได้ยินชัดเจน

“อย่างนี้ไม่ได้เรียกว่ารังแกหรอก เขาเรียกว่าแลกเปลี่ยนข้อเสนอกันต่างหาก เอ...แล้วคุณรู้ได้ไงว่าผมเป็นทหาร” คนตัวเล็กชี้นิ้วไปยังหัวเตียงเป็นคำตอบ

“หูตาว่องไวดีเหมือนกันนี่”

“มันแน่อยู่แล้ว” เจ้าตัวยุ่งยิ้มรับคำชมอย่างภาคภูมิใจ จนคนชมอดอมยิ้มอย่างเอ็นดูไม่ได้

“คุณรีบไปอาบน้ำก่อนดีกว่ามั้ย เนื้อตัวมอมแมมซะจนดูไม่ได้เลยรู้มั้ย ผมเตรียมชุดกับผ้าเช็ดตัวไว้ในห้องน้ำแล้ว เชิญตามสบาย อ้อ...แล้วอย่าคิดว่าผมจะทำอะไรคุณอีกล่ะ เพราะว่าผมน่ะไม่ชอบเด็กดื้อรั้นแบบคุณเลยสักนิด”

“นี่คุณหาว่าฉันดื้อหรือไง ตาบ้า ปากเสียที่สุด” คนที่อารมณ์เริ่มเสียคว้าหมอนใบใหญ่ขว้างส่หน้าคนตัวโตอย่างแรง

“เฮ้ย! ล้อเล่นแค่นี้ทำเป็นโมโหไปได้” เมื่อเห็นหญิงสาวบนเตียงทำสีหน้าบูดบึ้งอย่างคนเจ้าอารมณ์ เขาก็แทบอยากจะปล่อยก๊ากออกมา แต่ดีที่ยังยั้งไว้ได้ทัน

“เอาน่าคุณ....ผมพูดเล่นอย่าโมโหเลย รีบไปอาบน้ำเถอะ เออ....ว่าแต่คุณชื่ออะไรล่ะ”
“คุณก็บอกชื่อคุณมาก่อนซิ”

.....เออแน่ะ เป็นเด็กเป็นเล็กยังมาย้อนผู้ใหญ่อีก.... ชายหนุ่มส่ายหัวอย่างระอา คะเนดูแล้วสาวน้อยคนนี้คงอายุน้อยกว่าเขาไม่น้อยกว่าหกปีเป็นแน่ แล้วดูเหอะยังมาพูดจายอกย้อนใส่เขาอีก!

“คมกริช บูรพรัตน์ ทีนี่บยอกชื่อคุณมาได้รึยังล่ะครับคุณหญิง”

....เงียบ....

เมื่อคำตอบที่ได้รับคือความเงียบ คมกริชเลยทำทีถอนหายใจยาว

“ไม่มีชื่อ? งั้นผมคงต้องตั้งชื่อคุณใหม่แล้วล่ะ ชื่ออะไรดีล่ะ ชื่อแสนซนดีมั้ย”
เจ้าตัวดีไม่ตอบแต่กลับหันมาแลบลิ้นปลิ้นตาใส่เขาเสียอีก

“ทำหน้าอย่างนี้แสดงว่าไม่ชอบ งั้นเอาชื่อนี้ดีกว่า” ชายหนุ่มเดินเข้ามาใกล้คนที่นั่งบนเตียงแล้วก้มหน้าลงมามองใกล้ๆ

“ชื่อ...ดารา...ดีมั้ย” คราวนี้คนที่ดื้อมาตลอดกลับนั่งนิ่งสงบจนเขานึกแปลกใจ

“เอ...สงสัยจะชอบชื่อนี้ งั้นต่อแต่นี้ไปผมจะเรียกคุณว่าดาราโอเค้?”

“โอเค!” คราวนี้มันไม่ยักกะขึ้นเสียง แต่กลับยิ้มใส่เขาซะอีก

“สงสัยคุณจะชอบชื่อนี้จริงๆ รีบอาบน้ำแล้วเข้านอนซะ วันนี้ผมจะลงไปนอนข้างล่างแล้วกัน” คนตัวสูงก้าวเดินออกจากห้องไปโดยมีสายตา..คนที่ถูกตั้งชื่อว่า...ดารา....มองตามไปจนลับสายตา
2
ณ ห้องประชุมใหญ่ของบริษัท ‘ดิเรกดำรงกุล’ ซึ่งเป็นบริษัทจัดทำภาพยนตร์ยักษ์ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์แนวไหนก็ตาม ที่นี่ถือเป็นศูนย์รวมของภาพยนตร์ที่มีคุณภาพเลยทีเดียว ร่างสูงใหญ่ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้นวมบุด้วยหนังอย่างดี กำลังนั่งตรวจสอบรายงานประชุมที่เลขาฯประจำตัวของเขาเป็นคนบันทึกทุกอย่างในการประชุมอย่างเคร่งครัด คิ้วหนาดกขมวดส่งผลทำให้ใบหน้าที่เคร่งขรึมอยู่แล้วยิ่งทำให้ใบหน้านั้นน่าเกรงขามขึ้นไปอีก แต่คนทั้งบริษัทนี้ถือว่าเป็นความเคยชินซะแล้วเพราะ ‘บอส’ ของพวกเขาจะจริงจังกับงานมาก แล้วยิ่งมีโปรเจคทำภาพยนตร์เรื่องใหม่เข้ามายิ่งทำส่งผลให้ใบหน้านั้นน่ากลัวขึ้นมาเป็นธรรมดา
“เครียดอะไรนักหนาครับพี่ณพ เครียดมากระวังหน้าแก่เร็วนะครับ” เสียงนุ่มที่ผ่านหูของอรรณพทำให้เขาผละสายตาจากเอกสารมามองหน้าของน้องชายตน
อรรณพ ดิเรกดำรงกุล ผู้ที่ได้ศักดิ์ว่าเป็นพี่ชายของ ‘ภาณุเดช’ และ ‘นพสร’ และในขณะเดียวกันก็ได้รับตำแหน่งประธานใหญ่ของบริษัท ‘ดิเรกดำรงกุล’ หลังจากที่พ่อของเขาเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจล้มเหลว ทั้งสามพี่น้องจึงอาศัยกันอยู่ 3 คนในบ้านหลังใหญ่ อรรณพถือว่าเป็นนักธุรกิจเนื้อหอมเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นหน้าที่ฐานะการงานที่ดีแล้ว ใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาก็สามารถเรียกเสียงกรี๊ดจากสาวๆครึ่งค่อนประเทศนี้ได้เลย
อรรณพยิ้มที่มุมปากนิดๆเมื่อได้ยินประโยคที่ภาณุเดชกล่าว
“จะให้ชั้นยิ้มหน้าบานทั้งวันแบบแกหรือไงเจ้าณุ ดีนี่เข้าประชุมก็ไม่เข้า แถมมีโปรเจคใหญ่เข้ามาอีก แกก็ยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย” เสียงทุ้มกล่าวเชิงประชดพลางส่ายหน้าอย่างเอือมระอาเต็มที
“ก็ว่าจะมาถามเกี่ยวกับโปรเจคนี้อยู่พอดีเลยครับ แต่ว่าตอนนี้ก็คงจะไม่ได้เพราะนี่ก็เลยเที่ยงมาแล้ว ข้าวซักเม็ดก็ยังไม่ตกถึงท้องเลย ไปทานข้าวก่อนนะครับพี่ณพดื่มกาแฟอย่างเดียวไม่อิ่มท้องหรอก”
อรรณพพยักหน้าอย่างเห็นด้วย เรียกรอยยิ้มบนใบหน้าของน้องชายทันที
“ไปสิชั้นก็เริ่มหิวแล้วเหมือนกัน”
ขณะที่ภาณุเดชกำลังนั่งทานข้าวอย่างเอร็ดอร่อยอยู่นั้นก็คิดถึงประโยคที่เพื่อนสาวของตนได้พูดไว้เมื่อ 2 วันก่อนหลังจากที่เขาส่งเธอถึงคอนโด
‘อย่าลืมที่ฉันบอกล่ะณุ ถ้าพี่ชายแกต้องการตากล้องมือดีอย่างชั้นรีบติดต่อมาเลยนะเว้ย’
เสียงหวานใสพูดเจื้อยแจ้วก่อนที่จะปิดประตูรถของภาณุเดชเมื่อมาถึงคอนโด โดยที่ภาณุเดชยังไม่ทันได้พูดโต้ตอบอะไรเลย
“คิดอะไรอยู่หน่ะเจ้าณุ หืม” อรรณพอดถามน้องชายไม่ได้เมื่อเห็นน้องชายนั่งทำหน้าบูดเบี้ยว
“เอ่อ เปล่าฮะพี่ณพ”
“แล้วทำไมแกถึงทำหน้...............” ประโยคหลังชายหนุ่มยังไม่ทันจะพูดจบก็มีเสียงสูงแปดหลอดของดาริกาดังแทรกเข้ามาซะก่อน
“Hi!!ณพ” ดาริกาลูกสาวของคุณหญิงคุณนายที่อยู่ในแวดวงไฮโซ 1 ในสาวๆที่เป็นแฟนคลับของอรรณพ แต่ดาริกานั้นรู้สึกจะเป็นคนที่เข้าถึงอรรณพได้ง่ายหน่อยเพราะเธอถือว่ามีแม่เป็นคุณหญิงมีพ่อเป็นรัฐมนตรี เหตุนี้จึงทำให้อรรณพค่อนข้างที่จะเบื่อหน่ายเมื่อเห็นดาริกาดเข้ามาทัก
“อ้าว ณุก็อยู่ด้วยหรอจ๊ะ” ดาริกาพูดพลางแสยะยิ้มอย่างกับเห็นภาณุเดชเป็นที่น่ารังเกียจนักหนา
เพราะสองคนนี้ไม่ค่อยจะลงรอยกันอยู่แล้ว
“ครับผมมาทานข้าวกับพี่ณพ” กล่าวอย่างไม่ใส่ใจกับยิ้มแสยะของดาริกา
“ณพคะทำไมเมื่อคืนไม่โทรหาดาล่ะคะ สัญญากับดาแล้วน้า” พูดด้วยน้ำเสียงหวานออดอ้อน
“คือ....เมื่อคืนผม......”
“ไม่รู้ล่ะค่ะ วันนี้ณพต้องพาดาไปดินเนอร์ด้วยโทษฐานที่ไม่ยอมโทรไปหาดาเมื่อคืน” ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะพูดจบเธอก็กล่าวแทรกขึ้นมาแกมบังคับ โดยที่เหตุผลของเธอนั้นฟังไม่ขึ้นเอาซะเลย
“เอ่อ พี่ณพไงผมกลับบริษัทก่อนนะ ไปนะครับคุณดา” ประโยคหลังเขาหันไปเอ่ยกับดาริกา
“เฮ้ย เดี๋ยวก่อนเจ้าณุ” ชายหนุ่มเอ่ยเรียกน้องชายของตนที่เดินออกไปจากนอกร้านแล้ว
นึกเอ่ยโทษน้องชายเหมือนกันที่ต้องปล่อยให้เขาเผชิญหน้าอยู่กับดาริกาสองต่อสอง
ร่างสูงโปร่งของเรืองลลินที่วันนี้อยู่ในชุดเดรสสีชมพูหวาน กำลังยืนอยู่ที่หน้าบริษัท
‘ดิเรกดำรงกุล’ พลางเงยหน้าขึ้นมองตึกที่มีหลายสิบชั้นด้วยสายตาชื่นชม
“โอ้โห อะไรจะใหญ่โตปานนี้วะเนี่ย” เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นเหมือนกับไม่เคยเห็นตอนที่เธออยู่อเมริกา
“ปริ๊นนนนนนนน”เสียงบีบแตรรถยนต์ทำให้เธอหลุดออกจากภวังค์ทันทีพลางมองไปที่รถคันนั้นอย่างหัวเสีย ‘ไอ้บ้านี่ขัดจังหวะชั้นจริง’
“นี่คุณมายืนทำอะไรตรงนี้ ไม่รู้หรือไงทางนี้ไว้สำหรับรถผ่าน หรือคุณอยากจะไปเกิดใหม่เร็วๆ”
ร่างสูงของอรรณพเอ่ยหลังจากที่เปิดประตูรถลงมา
“ก็เพราะชั้นไม่รู้น่ะสิว่าตรงนี้ไว้สำหรับรถผ่านไม่เห็นมีป้ายเขียนติดไว้เลย ไหนล่ะป้าย?”
เธอพูดพลางทำท่าชะเง้อมองหาป้ายที่เธอว่า
“ถึงมันจะไม่มีป้ายบอก แต่ด้วยสัญชาติญาณของมนุษย์ก็น่าจะรู้ว่าบริเวณเขาไม่ได้มีไว้ให้คนมาเดินเล่น”
“แล้วถ้าชั้นไม่หลบซะอย่างใครจะว่าอะไรชั้น”เธอกล่าวพลางเท้าสะเอวมองชายหนุ่มอย่างเอาเรื่อง
“ตกลงคุณจะไม่หลบใช่มั๊ย” อรรณพถามเรืองลลิน และเมื่อเรืองลลินพยักหน้ารับ เค้าก็แสยะยิ้มที่มุมปากอย่างน่าขนลุก “เอางั้นก็ได้ครับคุณผู้หญิง” เมื่อชายหนุ่มกล่าวจบก็เดินตรงไปประชิดตัวเรืองลลิน
“นี่นายจะทำอะไรหน่ะ เฮ้ยปล่อยนะไอ้บ้า ปล่อยฉันสิ ปล่อยฉันเว้ย” หญิงสาวร้องตะโกนออกมาเมื่ออรรณพอุ้มเธอพาดบ่าแล้วเดินตรงไปที่รถเขา

No comments: