Thursday, November 6, 2008

!!เขย่าใจ...ในหนึ่งเดือน!!

นิยายไทย เรื่องถัดมา


!!เขย่าใจ...ในหนึ่งเดือน!!

“ผู้ชายคนแรกที่สัมผัสตัวเธอหลังจากที่เธอลืมตาตื่นขึ้นมา ผู้ชายคนนั้นจะเป็นเนื้อคู่ของเธอ เพราะฉะนั้นภายในหนึ่งเดือนนับตั้งแต่ที่เธอฟื้นขึ้นมา เธอจะต้องทำให้เขารักเธอให้ได้ ไม่อย่างงั้นแล้วฉันจะกลับมาเอาชีวิตของเธอไป... ขอให้โชคดีนะ หวังว่าเดือนหน้าฉันกับเธอคงจะไม่ได้เจอกันอีก”
นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายที่อัลณิกานต์จำได้หลังจากที่เธอลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วมองเห็นเพดานสีขาวกับหลอดไฟนีออนแสงเจิดจ้า
“แม่คะ แม่ ยัยอันฟื้นแล้วค่ะ” น้ำเสียงดีใจของรันธิกานต์ผู้เป็นพี่เร่งให้มารดาวิ่งกรูเข้ามาหาเด็กสาวตัวน้อยที่นอนตาปรืออยู่บนเตียง
“อันเป็นไงบ้างลูก เฮ้อ...ขอบคุณสวรรค์ แม่คิดว่าลูกจะไม่ฟื้นขึ้นมาซะแล้ว” มือเรียวยาวลูบไล้เรือนผมสีน้ำตาลอ่อนของลูกสาวด้วยความห่วงใย
“หนูอยู่ที่ไหนคะเนี่ย” น้ำเสียงแหบพล่านเอ่ยถามขึ้นมาลอยๆ
“แกอยู่ที่โรงพยาบาลน่ะสิ” รันธิกานต์ตอบ
เด็กสาวขมวดคิ้วมองหน้าพี่สาวและมารดาสลับกันไปมาอย่างงงๆ
“โรงพยาบาล?”
“ใช่... อันจมน้ำตอนที่ไปเที่ยวทะเลไง อันจำไม่ได้หรอ”
อัลณิกานต์ส่ายหน้าน้อยๆให้กับมารดา เธอจำอะไรไม่ได้จริงๆนอกจากคำพูดของผู้หญิงคนหนึ่งที่ดังก้องอยู่ในรูหู คำพูดปริศนาที่แม้แต่เธอยังจำไม่ได้ว่าใครเป็นคนพูด
“ผู้ชายคนแรกที่สัมผัสตัวเธอหลังจากที่เธอลืมตาตื่นขึ้นมา ผู้ชายคนนั้นจะเป็นเนื้อคู่ของเธอ เพราะฉะนั้นภายในหนึ่งเดือนนับตั้งแต่ที่เธอฟื้นขึ้นมา เธอจะต้องทำให้เขารักเธอให้ได้ ไม่อย่างงั้นแล้วฉันจะกลับมาเอาชีวิตของเธอไป... โชคดีนะ หวังว่าเดือนหน้าฉันกับเธอคงจะไม่ได้เจอกันอีก”
“แม่คะวันนี้วันที่เท่าไร”
“1 ธันวาจ๊ะ อันถามทำไมหรอ”
เด็กสาวอ้าปากกำลังจะตอบ แต่ก็ต้องหยุดชะงักเมื่อประตูห้องเปิดออกแล้วมีคุณหมอวัย(เลย)หนุ่มสวมแว่นตาหนาเตอะเดินคู่มากับพยาบาลสาวสวยเพื่อมาตรวจเช็คร่างกายของเธอตามปกติของทุกวัน
“อ้าว หนูอันฟื้นแล้วหรอครับ” คุณหมอถามอย่างแปลกเมื่อเห็นคนไข้ที่เคยนอนหลับมายาวนานจ้องหน้าเขาเหมือนกับตกใจอะไรสักอย่าง
“ค่ะ พึ่งจะฟื้นขึ้นมาเมื่อตะกี้นี้เอง” ผู้เป็นแม่ตอบด้วยความดีใจอย่างสุดๆ
“ดีใจด้วยนะครับ... ไงหนูอัน ให้คุณหมอตรวจหน่อยสิว่าอาการเราเป็นอย่างไงบ้าง” คุณหมอพูดพลางเดินเข้ามาใกล้ๆอัลณิกานต์หน้าซีดเผือกทำอะไรไม่ถูกได้แต่ภาวนาในใจว่า ...ขอให้ไอ้หมอนี่อย่ามาเป็นเนื้อคู่ฉันเลย... เด็กสาวดึงสายน้ำเกลือออกก่อนจะกระโจนลงจากเตียงด้วยความรวดเร็วท่ามกลางความตกใจของทุกๆคน
“อันเป็นอะไรไปลูก”
เด็กสาวไม่ตอบได้แต่ส่ายหน้าแรงๆแล้ววิ่งเตลิดเปิดเปิงออกจากห้องไปอย่างคนเสียสติ
อัลณิกานต์วิ่งไปเรื่อยๆตามทางเดินของโรงพยาบาล น่าแปลกที่ไม่มีคนอยู่แถวนี้เลยสักคน ร่างบางหยุดวิ่งยืนหอบแฮ่กๆเพราะความเหนื่อย แต่เมื่อชุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้เธอก็ต้องหัวเราะให้กับความบ้าของตัวเองดังๆ
ใช่... เธอบ้าจริงๆนั่นแหละ บ้าที่ไม่รู้ว่าไปเชื่อคำพูดของผู้หญิงคนนั้นได้อย่างไง บางทีเธออาจจะฝันหรือเพ้อเจ้อคิดไปเองก็ได้ น่าตลกสิ้นดีอุตส่าห์ใส่ตีนสุนัขวิ่งหูดับตับไหม้ออกมาจากห้องเสียจนไส้แทบทะลัก ปานนี้แม่ พี่สาว และคุณหมอคงหาว่าเธอเป็นบ้าไปแล้วล่ะมั้ง
“อีกหนึ่งเดือน”
รอยยิ้มที่คลีอยู่บนใบหน้าขาวนวลหุบลงทันที เมื่อได้ยินเสียงของผู้หญิงคนนั้นกระซิบอยู่ข้างๆหู และเมื่อหันไปมองรอบๆก็ไม่เห็นใครอยู่เลยสักคน
“ฉ...ฉันหูฝาดไปแน่ๆ ฮะๆๆ” เธอหัวเราะดังๆเพื่อข่มอารมณ์หวาดกลัวเอาไว้
“อีกหนึ่งเดือน... อีกหนึ่งเดือน... อีกหนึ่งเดือน...”
อัลณิกานต์หันซ้ายแลขวามองหาต้นเสียงที่ดูเหมือนจะดังอยู่ข้างๆหูเธอตลอด ร่างกายสั่นเหมือนเจ้าเข้า ใบหน้าซีดขาวขนาดไก่ต้มมาเห็นยังเรียกแม่ ดวงตาสั่นระริกพร้อมกับน้ำใสๆที่เอ่อล้นเต็มขอบตาพร้อมที่จะไหลออกมาได้ทุกเมื่อ
“ช...ช่วยด้วย ฉันถูกผีหลอกกก!!” เสียงตะโกนดังลั่นไปทั่วทั้งโรงพยาบาล ฝูงนกฝูกกาที่เกาะอยู่ตามต้นไม้ต่างบินหนีไปด้วยความตกใจ
อัลณิกานต์หลับหูหลับตาวิ่งไม่สนใจอะไรทั้งนั้น เพราะถ้าขืนสนใจคงได้ถูกผีหลอกจนหัวโกร๋นแน่ๆ ตอนนี้ต้องกลับไปตั้งหลักที่ห้องพักของตัวเองเสียก่อน
พลั่ก!!
ร่างเล็กกระเด็นล้มหงายหลังตึง รู้สึกเหมือนจะวิ่งไปชนเข้ากับอะไรสักอย่างแบบจังๆ
“นี่หนู โรงพยาบาลไม่ใช่ที่วิ่งเล่นสำหรับเด็กๆหรอกนะ” หนุ่มร่างสูงในชุดสูทสีดำพูดกล่าวตักเตือนเด็กน้อย แล้วยื่นมือไปให้เธอจับ
“ขอบคุณค่ะ” อัลณิกานต์จับมือหนาใหญ่แข็งแรงนั้นไว้พร้อมกับยันตัวเองให้ลุกขึ้นยืน
เด็กสาวจ้องมองนัยน์ตาสีนิลที่ดุจมีอำนาจแฝงอยู่ลึกๆอย่างหวาดกลัว
“อย่างกับมาเฟียแน่ะ” เด็กสาวบ่นขมุบขมิบอยู่ในปาก
เขาเลิกคิ้วสูงมองสาวน้อยตรงหน้าด้วยความสงสัย “พูดว่าไงนะ”
“ป...เปล่าค่ะไม่มีอะไร” อัลณิกานต์พูดตะกุกตะกัก หลบสายตาหน้ากลัวของเขาก้มลงมองพื้นแทน
“ท่านคะ คุณอัมพวันฟื้นแล้วค่ะ” หญิงสาวหน้าหมวยที่เพิ่งเดินเข้ามาก้มหัวลงให้เขาท่าทางนอบน้อม
“เดี๋ยวฉันตามเข้าไป”
“ค่ะท่าน” หญิงสาวหน้าหมวยหันมามองสาวน้อยที่ยืนจับมือกับเจ้านายด้วยสายตางงๆ ก่อนจะหันหลังเดินกลับไปยังห้องพักที่เธอพึ่งเดินออกมา
“กลับห้องของหนูไปได้แล้วเดี๋ยวพ่อแม่จะเป็นห่วงเอา” มือหนาขยี้หัวเด็กน้อยอย่างเอ็นดู
อัลณิกานต์ปัดมือนั้นออกด้วยความตกใจ
“อย่ามาจับหัวฉันนะ แล้วไม่ต้องมาเรียกฉันว่าหนู เพราะฉันอายุ 16แล้ว... ตาบ้า!”
ชายหนุ่มกลั้นหัวเราะกับความแก่แดดของเด็กสาว
“16 อย่างไงก็ยังเด็กอยู่ดีนั้นแหละ... ว่าแต่เมื่อไรหนูจะปล่อยมือฉันสักทีล่ะ”
อัลณิกานต์ก้มลงมองมือตัวเองที่ยังจับมือเขาไม่ยอมปล่อย ครั้นพอเธอจะปล่อยมันก็ไม่ยอมหลุด อย่างกับถูกกาวตราช้างทาติดเอาไว้แน่น เด็กสาวสะบัดมือออกแรงๆแต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะหลุดเลยแม้แต่น้อยชายหนุ่มมองผู้หญิงตรงหน้าอย่างงงๆ อารมณ์ชักจะเสียเพราะเธอไม่ยอมปล่อยมือเขาสักที แถมยังสะบัดไปมาแรงๆจนแขนเขาแทบจะหลุดอีกต่างหาก
“นี่คุณ! มันไม่ตลกเลยนะ” ทั้งสองพูดออกมาพร้อมกัน“รู้สึกว่าประโยคนั้นฉันน่าจะเป็นฝ่ายพูดเสียมากกว่า” อัลณิกานต์แหวใส่ พร้อมทั้งสะบัดมือแรงๆ
“เด็กๆสมัยนี้ชอบหลอกแต๊ะอั๋งผู้ใหญ่หรือไงกัน” ชายหนุ่มบ่นออกมาเบาๆอัลณิกานต์เหลือบตาขึ้นมองชายหนุ่มอย่างเคืองๆ เม้มปากเน้นไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับเขา แต่แล้ว...
“ผู้ชายคนแรกที่สัมผัสตัวเธอหลังจากที่เธอลืมตาตื่นขึ้นมา ผู้ชายคนนั้นจะเป็นเนื้อคู่ของเธอ...”
ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่กลมโตอยู่แล้ว บัดนี้ได้เบิกกว้างจนแทบถลนออกมานอกเบ้าเมื่อนึกถึงคำพูดของผู้หญิงคนนั้น“เนื้อคู่!!!!!!”
มือที่ติดกันเหนียวหนืดของทั้งสองฝ่ายเมื่อตะกี้ ค่อยๆคลายออกอย่างช้าๆ สร้างความมึนงงให้แก่เด็กสาวเป็นอย่างมาก
อัลณิกานต์พลิกมือข้างนั้นของตัวเองไปมา เพื่อมองหาสิ่งผิดปกติ แต่ถึงจะพลิกดูกี่รอบๆ มันก็เป็นแค่มือธรรมดาๆ เท่านั้น
“ปล่อยซะตั้งแต่แรกก็สิ้นเรื่อง... ฉันไปก่อนนะ แล้วกลับห้องดีๆล่ะนังหนู” ชายหนุ่มเอื้อมมือไปขยี้หัวเด็กสาวอีกครั้ง หากแต่ครั้งนี้เธอไม่ปัดมือเขาออกเพราะสาวเจ้ามัวแต่สนใจดูมือของตัวเอง
ชายหนุ่มยักไหล่ไม่สนใจ ก่อนจะหันหลังเตรียมเดินกลับไปยังห้องพักของคนที่ชื่ออัมพวัน แต่เขาก็ต้องชะงักเมื่อเสียงเล็กๆของคนข้างหลังดังขัดขึ้นมา
“เดี๋ยวก่อนค่ะ...เอ่อ...” เด็กสาวอึกอักทำท่าจะพูดต่อ
“มีอะไรก็ว่ามาสิ”
“เอ่อ...ฉะ...ฉันชื่ออัลณิกานต์ พักอยู่ห้อง 1028 เอ่อ...แล้วคุณ...ชื่ออะไรคะ” เธอเกาหัวอย่างอายๆ แก้มยุ้ยๆทั้งสองข้างแดงระเรื่อขึ้นเล็กน้อย
ชายหนุ่มหัวเราะให้กับท่าทางของเธอ ก่อนจะตอบไปว่า “คิดจะจีบผู้ใหญ่อย่างฉัน รอไปอีกร้อยปีเถอะสาวน้อย” ชายหนุ่มโบกมือลาแล้วหันหลังเดินลับเข้าไปในห้อง
เมื่อร่างสูงเดินลับหายไปแล้ว ริมฝีปากอวบอิ่มของอัลณิกานต์ก็กระตุกขึ้นอย่างเจ้าเล่ห์ทันที “ไม่ต้องรอให้ถึงร้อยปีหรอก แค่เดือนเดียวนายต้องชอบฉันแน่ๆ โฮะๆๆๆ”
“ขอให้โชคดีนะ”
เสียงที่ดังแว่วมาตามสายลมของผู้หญิงคนนั้น ทำให้เสียงหัวเราะเล็กแหลมตรงทางเดินของโรงพยาบาลเงียบกริบลงอย่างรวดเร็ว จะมีก็แต่เสียงเท้ากระทบกับพื้นแบบถี่รัวเท่านั้น... หรือพูดง่ายๆก็คือเสียงวิ่งแบบไม่คิดชีวิตนั่นแหละ
++++++++++
ผ่านไปหนึ่งวันสำหรับเด็กสาวตัวน้อยที่นอนเคี้ยวขนมกรอบๆอยู่บนเตียง
เมื่อวานหลังจากที่เธอวิ่งหูดับตับไหม้กลับมาที่ห้อง ก็โดนคุณแม่ลากตัวไปบ่นเทศนาเสียยืดยาว แถมยังโดนคุณหมอว่ากล่าวตักเตือนอีกต่างหาก แต่ก็อย่างว่า ด้านๆแบบนี้ผ่านไปไม่นานก็ทำเป็นเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้
อัลณิกานต์หันไปมองพี่สาวที่นั่งอ่านหนังสืออยู่บนโซฟาเยี่ยมคนไข้ ซึ่งห่างจากเธอไปไม่ใกล้ไม่ไกลนัก
“อ่านไรอยู่หรอ”
“กระซิบกระซาบดาราน่ะ” ปากก็พูดกับน้องสาว แต่สายตาก็ยังคงจดจ่ออยู่กับหนังสือ
“เจ้รันนี่ชอบเจ่อเรื่องชาวบ้านเค้าจริงๆเลย”
“หุบปากแล้วก็นั่งกินข้าวเกรียบกุ้งมโนราห์ของแกต่อไปเถอะ” รันธิกานต์เงยหน้าขึ้นมาแว้ดน้องสาวก่อนจะก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือต่อ“อ่านเรื่องใครอยู่หรอ ขอฉันดูมั้งดิ”
“เชอะ! ด่าคนอื่นเค้าเจ่อ ที่ตัวเองล่ะเสร่อติดอันดับ Top 5 ของโลก”
“ฉันไม่ได้เสร่อนะ ก็แค่อยากรู้เฉยๆ” อัลณิกานต์แก้ตัว
ผู้เป็นพี่ได้แต่พยักหน้าพยายามอยากจะเอ่อออตามน้องสาว
“ฉันอ่านเรื่องของยัยคุณหนูไฮโซที่ชื่ออัมพวันน่ะ”
อัลณิกานต์สะดุ้งทันทีที่ได้ยินชื่อ “ใครวะ ชื่อคุ้นๆว่ะ”
“ก็น้องสาวคุณภูมินทร์ไง… เฮ้ อย่าบอกนะว่าแกไม่รู้จักคุณภูมินทร์”
ใบหน้ารูปไข่ที่เปื้อนความงงส่ายไปมาเบาๆ
“คุณภูมินทร์ ก็นักธุรกิจหนุ่มเจ้าของบริษัทผลิตรถยนต์นำเข้าไง หนุ่มไฮโซที่ชอบควงผู้หญิงมาล่อพวกนักข่าวอยู่บ่อยๆน่ะ จะให้พูดอย่างไงดีล่ะ เอ่อ...คนที่เมื่อปีที่แล้วออกข่าวครึกโครม ว่าเป็นนักธุรกิจหนุ่มที่ประสบผลสำเร็จทำรายได้ทะลุเกินเป้าร้อยล้านด้วยอายุเพียง 26 ปีไง... รู้จักมั้ย” รันธิกานต์อธิบายเสียอืดยาว แต่คนไข้ที่นอนอยู่บนเตียงก็ยังคงส่ายหน้าไปมาอยู่ดี
“นึกหน้าไม่ออกว่ะ เจ้รันมีรูปเขามั้ยล่ะ”
“มี แต่ว่าเล็กหน่อยนะ” รันธิกานต์ลุกขึ้นเดินมานั่งบนเตียงข้างๆน้องสาว แล้วยื่นหนังสือกระซิบกระซาบดาราไปให้เธอ
อัลณิกานต์รับหนังสือไปดูแต่แล้วเธอก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ก่อนจะโยนหนังสือเล่มนั้นลงบนพื้น
“อ๊ากกก...ก...” เด็กสาวร้องเสียงหลงพร้อมกับทำหน้าแหยงๆ “ปะ...เป็นอะไรของแกวะ” รันธิกานต์ตะโกนใส่น้องสาวด้วยน้ำเสียงสั่นๆเพราะความตกใจกับเสียงร้อง
“แมลงสาบบบ... อี๋~ โสโครกชะมัดเลยอ่ะ ขยะแขยง” อัลณิกานต์ลูบแขนตัวเองที่ขนลุกตั้งชัน
“ไหนวะ ไม่เห็นมีเลย” พี่สาวพูดพลางก้มลงไปมองพื้นรอบๆห้อง
“ไม่มีบ้าอะไร แม่งตัวยาวเท่านิ้วก้อย อวบบวมอย่างกับพึ่งลอยอืดมาจากโถส้วม” ยิ่งจินตนาการเธอก็ยิ่งรู้สึกขนลุกขนพองด้วยความขยะแขยง
“แกนี่ก็บ้า กลัวอะไรไม่เข้าเรื่อง” รันธิกานต์ส่ายหน้าอย่างเอือมระอา ก่อนจะก้มลงไปหยิบหนังสือขึ้นมากางหน้านั้นให้เด็กสาวดูต่อ
อัลณิกานต์รับมันมาอีกรอบอย่างกล้าๆกลัวๆก่อนจะก้มลงมองหนังสือ และแล้วเมื่อเธอมองดูรูปของผู้ชายคนนั้นชัดๆใกล้ๆ เธอก็ต้องเบิกตากว้างอีกครั้งหนึ่ง
“เฮ้ย!!!” เธอร้องอย่างตกอกตกใจ
“อะไรของแกอีกวะเนี่ย” รันธิกานต์ตะคอกพร้อมกับทำหน้าเซ็งใส่
“นี่มันเนื้อคู่ฉันนี่หว่า” ดวงตาแวววาวสีน้ำตาลอ่อนฉายความตกใจอยู่ไม่ใช่น้อย แต่รอยยิ้มตรงมุมปากที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าก็แฝงความดีใจเอาไว้มากไม่แพ้กัน
“อ้าว เมื่อเดือนที่แล้วเนื้อคู่แกยังเป็นพี่ตูนบอดี้สแลมอยู่เลยนี่หน่า” รันธิกานต์พูดล้อพร้อมกับหัวเราะคิกคักๆอยู่บนเตียง
“โธ่...นี่เรื่องจริงนะเจ้รัน เมื่อวานฉันยังเจอเขาอยู่เลย แล้วอีกอย่างเขาก็เป็นผู้ชายคนแรกที่สัมผัสตัวฉันด้วย เพราะฉะนั้นเขาจะต้องเป็น...เนื้อคู่...” เด็กสาวหยุดพูดทันที เมื่อเห็นผู้เป็นพี่หัวเราะอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง
“ฉันว่าแกกินน้ำทะเลเยอะเกินไปแหงๆ สมองแกถึงได้ขาดๆเกินๆแบบเนี้ย ฮะๆๆ เนื้อคู่หรอ ตลกชะมัดเลย คิกคิก”
ด้วยความหมั่นไส้อัลณิกานต์เลยปาหนังสือใส่หน้าพี่สาวแบบเต็มๆ ก่อนจะพูดโต้กลับไปด้วยใบหน้าจริงจังและความมั่นใจ “ค่อยดูก็แล้วกัน ภายในเดือนนี้ฉันจะพาเขามาไหว้พี่สะใภ้อย่างเจ้รันให้ได้ ฉันขอเอาชีวิตเป็นประกันเลย คอยดูสิ” เธอพูดพลางลงจากเตียงผู้ป่วย แล้วลากรถเข็นน้ำเกลือเดินเข้าไปในห้องน้ำ โดยมีเสียงตะโกนไล่หลังของพี่สาวดังตามมาติดๆ
“ไอ้น้องบ้า ทำให้ได้อย่างที่พูดก็แล้วกัน ถ้าแกทำไม่ได้ล่ะก็ ฉันจะเชือดคอแกให้เหมือนหมูเลย... ชิ!”
อัลณิกานต์ปิดประตูเสียงดังปัง แล้วกระแทกก้นนั่งลงบนฝาชักโครกแรงๆ
“เฮ้อ...จะบ้าตาย นี่ยังดีนะที่หน้าตาหล่อ แต่...อายุตั้งยี่สิบเจ็ดเชียวหรอ โอ๊ย~ รู้งี้ตอนนั้นฉันน่าจะวิ่งไปอยู่แถวๆแผนกเด็ก ไม่น่าโง่เลยเรา” แล้วเธอก็นั่งถอนหายใจเฮ้อๆเพราะความเสียดายไปอีกหลายนาที
เมื่อรู้สึกตัวว่าเธอนั่งมานานแล้ว อัลณิกานต์ก็ลุกขึ้นเดินไปล้างมือที่อ่างล้างหน้า แต่แล้วเธอก็ต้องชะงักเมื่อเห็นถึงสิ่งผิดปกติบนกระจกบานใหญ่ เด็กสาวแทบจะกรี๊ดร้องออกมาดังๆแต่ก็เอามือปิดปากเอาไว้ได้ทัน เธอรีบหันหลังใส่กระจกทันที น้ำที่เอ่อล้นอยู่บนขอบตาไหลพรั่งพรูออกมายิ่งกว่าก๊อกแตก เมื่อเห็นเงาในกระจกไม่ใช่ตัวของเธอ แต่กลายเป็นผู้หญิงใส่ชุดกระโปรงยาวสีเทาอ่อน ผมยาวดำหยิกเป็นลอนสลวยสวยเก๋ แต่ที่แปลกสะดุดตาเห็นจะเป็นเขาสีแดงอันเล็กๆบนหัวของผู้หญิงคนนั้น
...ตัวอะไรวะนั่นน่ะ... อัลณิกานต์คิดในใจ ก่อนจะตัดสินใจหันไปมองกระจกอีกครั้ง
“เธอกล้าด่าผู้มีพระคุณว่าตัวอะไรวะงั้นหรอ” ผู้หญิงในกระจกขมวดคิ้วชนกัน ยิ่งทำให้ใบหน้าของเธอดูโหดเข้าไปใหญ่
“อ๊ากกก...” เด็กสาวร้องออกมาด้วยความตกใจก่อนจะกระวีกระวาดวิ่งไปเปิดประตู อัลณกานต์หมุนลูกบิดไปมา แต่ว่า...
...ปะ ปะตูเปิดไม่ออกกก!!!...

No comments: