Friday, November 7, 2008

มะนาวซาส์โซดาหวาน

นิยายไทย เรื่องถัดมา

มะนาวซาส์โซดาหวาน
โครม...เสียงรถชนกันดังสนั่นก้องในหู ภานิดาช็อคนิ่งไม่ขยับตัว
“ก็อก...ก็อก...คุณ...คุณ” พิพัฒน์พยายามเคาะกระจกเรียกคนที่ขับรถมาชนท้ายรถเขา
ภานิดาเปิดประตูรถออกมา ทำให้พิพัฒน์ถึงกับตะลึงเพราะเธอเป็นสาวสวย ปราดเปรียว
“ ขอโทษนะค่ะ..คือฉันไม่ได้ตั้งใจ แล้วจะชดใช้ค่าเสียหายให้ค่ะ” ภานิดาพูด
“ไม่เป็นไรครับ แค่นิดหน่อยเท่านั้นเอง” พิพัฒนาพูดเสียงหวาน ทั้งที่ตอนแรกกะจะด่าให้แสบแต่เพราะความสวยของเธอทำให้เขาเกิดถูกใจและอยากจะผูกสัมพันธ์ด้วย
“แต่ว่าฉันเป็นฝ่ายผิดนะค่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอกครับเพราะรถผมก็ไม่เสียหายอะไรมากแค่บุบนิดหน่อย ต่างคนต่างซ่อมดีกว่า”
“ขอบคุณมากนะค่ะ ที่คุณไม่โกรธแล้วยังไม่รับค่าเสียหายอีก”
“ใครว่าไม่โกรธ”
“อ้าว...แล้วต้องทำอย่างไงคุณถึงจะหายโกรธล่ะค่ะ” ภานิดารู้สึกว่าผู้ชายคนนี้ท่าทางจะเจ้าชู้ไม่เบา
“ไม่ยากแค่บอกชื่อ พร้อมเบอร์โทรให้ผมรู้”
“ก็ได้ค่ะ ฉันชื่อภานิดา พิบูลย์ไพศาล เบอร์โทร...................”
“ขอบคุณครับ ผมชื่อพิพัฒน์ พัฒนะชาติ”
แล้วจู่..จู่ คนในรถที่มากับพิพัฒน์ก็เปิดประตูรถออกมาหน้าตาบอกบุญไม่รับมองมาที่ภานิดา
“ไอ้พัฒน์ตกลงอะไรกันนานนักหนาข้ารีบนะโว้ย..ไม่รู้ขับรถภาษาอะไรทำให้คนอื่นเสียเวลา ซวยจริงๆ” ภูผาพูดเสร็จก็กลับเข้าไปนั่งในรถเหมือนเดิม
คำพูดของเขาทำให้ภานิดาโกรธมาก กำลังจะโต้ตอบแต่ตัวต้นเหตุกลับมุดเข้ารถไปแล้ว
พิพัฒน์เห็นสีหน้าของเธอกำลังโกรธเพื่อนเขามากจึงรีบกล่าวขอโทษ
“เอ่อ..ผมขอโทษแทนเพื่อนผมด้วยนะครับ มันเป็นคนป่าไม่ค่อยมีมารยาทน่ะครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันไม่ถือสาคนป่า” ภานิดาพูดเสียงเครียด
“งั้นผมลานะครับ หวังว่าเราคงได้พบกันอีก”
“ค่ะ”
คนบ้ามาด่าเราแถมทำหน้าดุยังกับโกรธใครมาสักร้อยชาติ อย่าให้เจออีกเชียวจะเอาคืนให้เข็ดเลย
ภานิดาบ่นแกมอาฆาตถึงนายคนป่า
“แกนะแกไอ้ภูทำข้าเกือบเสียคะแนน กำลังคุยกับคุณภานิดาอยู่ดีๆ ดันแหกปากว่าเธอออกมาได้” พิพัฒน์บ่น
“แกซิบ้ารู้อยู่ว่าข้ารีบกลับไร่ยังใจเย็นจีบหญิงอยู่ได้”
“ก็เธอสวยดีนี่หว่า หุ่นก็ดี ถ้าได้เป็นแฟนคงภูมิใจพิลึก” พิพัฒน์ว่า
“ไม่เห็นสวยตรงไหนแต่งตัวเปรี้ยวซะขนาดนั้น ไม่รู้มีอะไรเหลือให้น่าภูมิใจรึเปล่า”
“แกก็เป็นอย่างนี้ หาเข้าไปเถอะไอ้พวกอ่อนหวาน เรียบร้อยแต่ซ่อนอะไรไว้ข้างในบ้างก็ไม่รู้”
“พอเลยข้าไม่อยากคุยกับแกแล้ว” ภูผาตัดบท
2
ณ ไร่ภูตะวัน จังหวัดกาญจนบุรี
สองทุ่มภูผาและพิพัฒน์ก็มาถึงไร่ ไร่ของภูผามีเนื้อที่กว้างขวาง ปลูกผลไม้หลากชนิด
เลี้ยงวัวนม และนอกจากนั้นยังเลี้ยงม้าด้วยเพราะภูผาชอบขี่ม้า ส่วนบ้านพักเป็นบ้านไม้สองชั้นบริเวณรอบบ้านเต็มไปด้วยดอกไม้ต้นไม้นานาพรรณเป็นบ้านที่สวยและน่าอยู่มาก
“เฮ้อ...ถึงสักทีเมื่อยเป็นบ้า” พิพัฒน์บ่น
“บ่นไปได้ เดี๋ยวได้ทานข้าวฝีมือแม่อุ่นก็หายเมื่อยหน่า....” ภูผาพูด พร้อมกับร่างของแม่อุ่นที่เดินมาหาชายหนุ่มทั้งสอง
“มาซะค่ำเลยนะค่ะ คงยังไม่ได้ทานอะไรกันมา แม่อุ่นเตรียมอาหารไว้ให้เยอะเชียว” แม่อุ่นเอยทัก
“ทั้งหิวทั้งเมื่อยเลยครับแม่อุ่น” พิพัฒน์พูดประจบแม่อุ่น
“งั้นไปล้างหน้าล้างมือนะค่ะ แม่อุ่นจะตั้งโต๊ะรอ”
หลังจากที่ทานอาหารกันเรียบร้อยแล้วภูผาและพิพัฒน์ก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน
พิพัฒน์และภูผาเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็กเพราะเรียนด้วยกันมาตลอด แต่พิพัฒน์เลือกที่จะทำงานที่กรุงเทพฯ ส่วนภูผาเลือกที่จะอยู่บ้านเกิดและดูแลไร่ที่พ่อแม่สร้างไว้หลังจากที่ท่านตายไปตั้งแต่เขายังเรียนมัธยมทำให้เขาต้องรับผิดชอบทุกอย่างทั้งงานในไร่ ทั้งเรื่องเรียน จนเขากลายเป็นคนเคร่งขรึม ทั้งที่จริงแล้วภูผาเป็นคนร่าเริง คุยเก่ง เพื่อนเยอะ
ที่ห้างกลางใจเมืองกรุงเทพฯ
“ดาเสาร์นี้ว่างมั้ย” นัฐฌาถาม
“ว่าง...ทำไมเหรอ”
“นัฐจะชวนดาไปเที่ยวไร่พี่ภู”
“ที่อยู่เมืองกาญ ที่นัฐเคยเล่าให้เราฟังนะเหรอ”
“ใช่ ไปด้วยกันนะนัฐอยากวาดรูปน่ะที่นั่นวิวสวยมากด้วย”
“ขอคิดดูก่อนนะ เพื่อพี่ทีว่างจะได้ชวนไปด้วย”
“รักกันจริงนะ ห่างกันสักอาทิตย์ก็ไม่ได้”
“แหม...ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก แต่ในชีวิตเราก็มีคนที่เรารักและรักเราอยู่แค่สองคนเองนะ คนหนึ่งก็คือนัฐและอีกคนก็พี่ที” ภานิดาพูดเสียงเศร้า
“เราขอโทษ” นัฐฌารีบขอโทษเพราะรู้ว่าเพื่อนสะเทือนใจ
“ขอโทษเราทำไม เราไม่เป็นอะไรหรอก”
“กลับกันเถอะพรุ่งนี้ดาต้องทำงานนะ ไม่เหมือนนัฐอยากวาดรูปตอนไหนก็วาดไม่อยากวาดก็ไม่ต้องวาด”
“ที่พูดนี่อิจฉาใช่ไหม” นัฐฌาพูดแหย่เพื่อให้ภานิดาลืมเรื่องที่คุยกันเมื่อกี้
“บ้า” ภานิดาว่าเพื่อนแล้วกลับมายิ้มสดใส
ภานิดาเป็นเด็กกำพร้าเติบโตมาในสถานเลี้ยงเด็ก อายุ 15 ก็ต้องออกมาดิ้นร้นหาเลี้ยงตัวเองแต่ภานิดาก็สามารถส่งตัวเองเรียนสายอาชีพจนจบบัญชีได้ และทำงานเป็นพนักงานบัญชีของบริษัทแห่งหนึ่ง ทำให้ภานิดาเป็นคนเข้มแข็งแต่จริง ๆ แล้วในใจเธอเต็มไปด้วยความเศร้า ความเหงาและว้าเหว่ เธอไม่ค่อยมีเพื่อนมีเพียงนัฐฌาคนเดียวที่เป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดเพราะนัฐฌาเคยช่วยภานิดาจากพวกบ้ากามในห้าง และได้มารู้จักกับพี่ทีที่บริษัทเพราะพี่เขาค่อยเอาใจใส่ดูแลทุกอย่างทำให้ภานิดารักพี่เขาได้อย่างไม่ยากนัก
3
หลังเลิกงานภานิดาก็รอชัชชัยหรือที่ภานิดาเรียกพี่ทีมารับเหมือนเช่นทุกวัน แต่วันนี้เลยเวลาเลิกงานไปหลายชั่วโมง แล้วยังติดต่อชัชชัยไม่ได้ ทำให้ภานิดากังวลใจกลัวจะเกิดอะไรขึ้นจึงรีบไปที่บ้านของชัชชัย
“เอะ..รถก็อยู่นี่ สงสัยไม่สบาย” ภานิดาคิด แล้วเปิดประตูเข้าไปในบ้าน
“พี่ทีค่ะ....พี่ที” ภานิดาพยายามเรียก
แต่แล้วก็เงียบไม่มีเสียงตอบจากชัชชัย ภานิดาจึงเดินไปที่ห้องนอนของชัชชัย
“พี่ทีค่ะเมื่อไหร่พี่ทีจะเลิกกับนังดาซะทีค่ะเราจะได้แต่งงานกัน” เสียงผู้หญิงดังออกมาจากห้องของชัชชัย
คำพูดนั้นทำให้ภานิดาชะงัก ก่อนที่จะค่อย ๆ เปิดประตูห้องนอนของชัชชัย ภาพที่เห็นคือผู้ชายที่เธอรักกำลังกกกอดกับผู้หญิงอีกคน
“น้องดา” ชัชชัยร้องเรียกเมื่อเห็นภานิดาที่พลุนพลันวิ่งออกไปโดยไม่ฟังเสียงเรียกของเขาเลย
จากนั้นชัชชัยพยายามโทรหาภานิดาเพื่อปรับความเข้าใจแต่ภานิดาปิดมือถือทำให้เขาไม่สามารถติดต่อเธอได้ เขาไปหาเธอที่ห้องพักก็ไม่เจอ
“น้องดา.....น้องดาอยู่ที่ไหนทำไมไม่ยอมพบพี่” ชัชชัยพร่ำเพ้ออยู่คนเดียว
“ดา..ดาเป็นอะไรไปนะ” นัฐฌาถามภานิดาที่เอาแต่ร้องไห้ไม่ยอมพูดไม่ยอมบอกอะไรตั้งแต่มาถึงบ้านเธอ
“ขอดาอยู่คนเดียวสักพักนะ แล้วดาจะเล่าทุกอย่างให้ฟังเอง”
“ก็ได้”
“เราขอร้องอีกอย่างนะนัฐ อย่าบอกใครนะว่าเราอยู่กับนัฐ”
“แม้แต่พี่ที”
“ใช่”
นัฐฌาปล่อยให้ภานิดาสงบสติอารมณ์อยู่คนเดียว
“ดาต้องมีเรื่องกับพี่ทีแน่ ๆ ” นัฐฌาคิด
หลังจากที่ภานิดาสงบสติอารมณ์แล้วเธอก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้นัฐฌาฟัง
“ไอ้พี่ที มันเลวมากจริง ๆ แต่ดาไม่ต้องไปสนใจไม่ต้องเก็บเรื่องของมันมาคิดให้รกสมองหรอก นัฐว่าดีแล้วรู้เช่นเห็นชาติมันก่อนที่จะแต่งงานกัน” นัฐฌาด่าชัชชัยเพราะโกรธมากที่มาทำให้เพื่อนเธอเสียใจ
“ไม่มันง่ายเลยนะนัฐ ที่จะให้เราลืมเขาในวันนี้พรุ่งนี้ แต่นัฐไม่ต้องห่วงดาจะพยายามลืมเขาให้เร็วที่สุด” ภานิดาพูดด้วยน้ำเสียงเจ็บปวด
“ดาคิดจะทำยังไงต่อไป”
“ดายังคิดอะไรไม่ออกหรอกตอนนี้ ขอดาอยู่กับนัฐสักพักนะ”
“พูดอะไรยังงั้นเราเป็นเพื่อนกันนะ ดาอยู่ที่นี่ตลอดไปยังได้”
“ขอบใจนะ นัฐดีกับดาที่สุดเลย ดารักนัฐนะ”
“บ้านะ มาบอกรักเราก็เขินแย่นะสิ”
ภานิดายิ้มแล้วโผกอดนัฐฌาด้วยความรู้สึกอุ่นใจแม้เธอไม่มีใครเธอก็ยังมีนัฐฌาเป็นเพื่อนคอยอยู่เคียงข้างเสมอ
“อ๋อ....เรานึกออกแล้ว ดาลาพักร้อนไปเที่ยวไร่ภูตะวันกับเราดีกว่านะจะได้เปลี่ยนบรรยากาศเผื่อจะทำให้รู้สึกดีขึ้น”
“ดีเหมือนกัน ขอบใจมากนะดาสำหรับทุกอย่าง”
“ไม่เป็นไร”
ณ ไร่ภูตะวัน
“ว้าว...ไร่พี่ชายดาสวยจัง” ภานิดาพูด
หลังจากวันที่เกิดเรื่องผ่านไปหลายวันแล้ว ภานิดาดูเหมือนจะทำใจได้มากขึ้น
“แน่นอน ก็ดาบอกแล้วว่าที่นี่สวยมาก”
“ลุงเพิ่ม พี่ภูล่ะค่ะ” นัฐฌาถามลุงเพิ่ม ซึ่งเป็นคนขับรถของไร่และเป็นคนที่ไปรับสองสาวด้วย
“นายภูผาเข้าไปตรวจไร่ครับ เดี๋ยวคงมานายบอกว่าจะมาทานอาหารเช้ากับคุณนัฐและเพื่อนด้วยครับ”ลุงเพิ่มตอบแล้วก็ขอตัวเอารถไปเก็บ
“งั้นเข้าบ้านกันดา” นัฐฌาหันมาชวนภานิดาเข้าบ้าน
“คุณนัฐ สวัสดีค่ะ” เสียงแม่อุ่น เอ่ยทักนัฐฌา
“สวัสดีค่ะแม่อุ่น ดานี่แม่อุ่นแม่นมพี่ภู”
นัฐฌาแนะนำแม่อุ่นให้ภานิดารู้จัก
“สวัสดีค่ะ” ภานิดาเอ่ยสวัสดีพร้อมยกมือไหว้
“แล้วนี่ภานิดาเพื่อนนัฐค่ะ”
“สวัสดีค่ะ แล้วก็ยินดีต้อนรับสู่ไร่ภูตะวันนะค่ะ”แม่อุ่นเอ่ยทักทายภานิดา
“ขอบคุณค่ะ” ภานิดาพูด
“คุณนัฐพักห้องเดิมได้เลยนะค่ะ แม่อุ่นจัดห้องให้เรียบร้อยแล้วค่ะ” แม่อุ่นบอกนัฐฌา
“ขอบคุณค่ะ ดาไปดูห้องกันดาจะต้องชอบแน่ ๆ”นัฐฌาเอ่ยชวนภานิดาไปห้องพัก
“แล้วเดี๋ยวแม่อุ่นจะให้เด็กไปตามมาทานอาหารเช้านะค่ะ”แม่อุ่นบอกก่อนที่สองสาวจะขึ้นไปห้องพัก
“ค่ะ...ค่ะ” สองสาวรับคำพร้อมกัน
“แม่อุ่นน้องนัฐกับเพื่อนมาถึงรึยังครับ” ภูผาถามแม่อุ่นหลังกลับมาจากไปตรวจไร่
“มาถึงแล้ว อยู่บนห้องค่ะ”
“งั้นแม่อุ่นตั้งโต๊ะนะครับ เดี๋ยวผมไปตามน้องนัฐกับเพื่อนเอง”พูดเสร็จภูผาก็ตรงไปยังห้องที่นัฐฌาและภานิดาพัก
“ก็อก...ก็อก น้องนัฐครับ”
ภานิดาได้ยินเสียงเคาะประตูจึงเดินไปเปิดเองเพราะนัฐฌาอยู่ในห้องน้ำ
“คุณ...คุณ...” ทั้งสองร้องขึ้นพร้อมกัน
“อย่าบอกนะว่าคุณเป็นเจ้าของไร่นี้นะ” ภานิดาถามเสียงไม่เชื่อว่าเขาจะเป็นเจ้าของไร่จริง ๆ
“ใช่ ไม่เห็นแปลกที่ผมจะเป็นเจ้าของไร่นี้ แต่ที่แปลกคือคุณเป็นเพื่อนน้องนัฐนี่ซิ”
“ทำไม”
“ก็น้องนัฐออกจะเรียบร้อย อ่อนหวาน แต่คุณคงไม่ต้องให้บอกมั้งว่าเป็นยังไง”
“ฉันเป็นยังไง แน่จริงพูดมาซิ”
“ให้พูดจริง ๆ เหรอ คุณก็สาวเปรี้ยว ก้ากั๋น ชอบแต่งตัวอย่างที่เห็น”
วันนี้ภานิดาใส่เสื้อเกาะอกทับด้วยเสื้อยีนส์แขนยาวกับกระโปรงยีนส์สั้นตั้งแต่เดินทางมา แต่ตอนนี้ภานิดาถอดเสื้อยีนส์ออกแล้วเพราะที่นี้ร้อนมากเลยเหลือเพียงเกาะอกกับกระโปรงยีนส์สั้นเหนือเข่าซึ่งภานิดาเป็นคนหุ่นดีใส่อะไรก็สวยเธอจึงไม่อายที่จะแต่งตัวตามที่ตัวเองชอบเพราะแต่ก่อนที่
ภานิดาอยู่สถานเลี้ยงเด็กแทบไม่เคยได้ใส่เสื้อผ้าดี ๆ เลย ใส่แต่ที่เก่า ๆ ตกทอดมาไม่รู้ต่อกี่รุ่น
“มันก็เรื่องของฉันไม่เห็นเกี่ยวกับคุณนี่ ยังกับตัวเองดูดีตายล่ะ”
“มันก็จริงของคุณ เรื่องของคุณ อยากจะโชว์อะไรก็ไม่เกี่ยวกับผม แต่เตือนไว้อย่างที่นี่คนงานผู้ชายมันเยอะจะไปเดินโชว์อะไรก็ระวังด้วยละกันหรือถ้าเต็มใจก็แล้วแต่คุณนะ”
“กรี้ด......ไอ้บ้า ไอ้ลามก”ภานิดากรี้ดพร้อมด่า...แล้วก็...ด่า
“ดาเกิดอะไรขึ้น ร้องทำไม เป็นอะไรไป” นัฐฌาได้ยินเสียงกรี้ดเลยรีบออกมาดูพร้อมรัวคำถามจนคนฟัง ฟังแทบไม่ทัน
“ก็...เอ้อ...” ภานิดาไม่รู้จะเล่าอย่างไง
นัฐฌาเพิ่งเห็นภูผาจึงเอ่ยทักแล้วถามภูผาแทน
“สวัสดีค่ะพี่ภู เกิดอะไรขึ้น พี่ภูทำอะไรเพื่อนนัฐแล้วรู้จักกันด้วยเหรอค่ะ”นัฐฌาถาม
“ไม่รู้จักกันหรอก แค่เคยเจอกันที่กรุงเทพฯ แล้วพี่ไม่ได้ทำอะไรเพื่อนนัฐนะ สงสัยเค้าเป็นโรคลมชัก” ภูผาอธิบาย
“นายซิเป็นโรค โรคจิต” ภานิดาโต้ตอบ
“พอแล้ว...พอแล้ว...ทะเลาะกันเป็นเด็ก ๆ ไปได้ พี่ภูมาตามเราไปทานอาหารเช้าใช่ไหมค่ะ ดาไปกันเถอะ” นัฐฌาพูดขัดขึ้นแล้วจูงมือภานิดาไปทานอาหารเช้า ส่วนภูผาเดินตามหลังสองสาวไป
4
หลังจากทานอาหารเรียบร้อยแล้วทุกคนก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน ยกเว้นภานิดาที่ไม่รู้เพราะแปลกที่หรือมีเรื่องในใจทำให้นอนไม่หลับกันแน่
ภานิดาออกมายืนรับลมชมจันทร์ที่ริมระเบียงได้สักพัก ขณะกำลังหันหลังกลับเข้าไปในบ้าน
“เอ๊ะ...คุณมาทำบ้าอะไรเงียบ ๆ ตกใจหมด” ภานิดาอุทานพร้อมว่าให้คนที่ทำให้ตกใจซึ่งก็ไม่ใช่ใครอื่นนายภูผานั้นเอง
“โถ...ขัวญเอย ขัวญมา ขัวญอ่อนจริงนะคุณมาทำอะไรมืดค่ำไม่หลับไม่นอน”
“เรื่องของฉัน คนโรคจิตอย่างนายไม่เกี่ยว”
“อ้าว..คุณ ถ้าผมเป็นคนโรคจิต คุณก็คนบ้าล่ะ ผมว่าสมกันดีนะคนโรคจิตกะคนบ้า”
“ใครเขาอยากจะสมกับนาย และฉันก็ไม่ใช่คนบ้านะ”
“ก็จริงนะ คนบ้าที่ไหนจะทั้งสวยทั้งเซ็กซี่ได้แบบคุณแม้แต่ตอนใส่ชุดนอนก็ยัง”
ภูผาพูดพร้อมกวาดสายตามองภานิดาตั้งแต่หัวจรดเท้าแต่ยังพูดไม่จบ เสียงของภานิดาก็แทรกขึ้นมาก่อน
“หยุดนะ ไอ้คนบ้า ไอ้คนลามก”
ภานิดาด่าเขาเสียงดัง หน้าตาแดงกร่ำทั้งอายทั้งโมโหให้ภูผา
“คุณน่าจะขอบคุณผมนะ ผมชมคุณนะ ไม่ได้ว่าอะไรเสียหน่อย”
“ชมบ้านนายนะซิ นายมองยังกับจะแก้ผ้าฉันแล้ว...โอยไม่พูดแล้ว ไอ้บ้า”
ภานิดาผลักอกภูผาแล้วเดินหนีเข้าห้อง
“ฮ่า...ฮ่า…แปลกฮ่ะ ยายนี่อายเป็นกะเขาด้วย” ภูผาหัวเราะแล้วเดินกลับห้องนอนไป
“ตื่นเร็วดาไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกัน” นัฐฌาปลุกภานิดาทั้งที่เพิ่งตีห้าเอง
“ขอนอนอีกแป๊บหนึ่งนะยังมืดอยู่เลย”
“ไม่ได้ลุกเลย เร็ว ๆ ถ้าดาไม่ลุกมาล้างหน้าแต่งตัว นัฐจะจับแต่งเองนะ”
“จ้า… ก็ได้บังคับกันจังเลย”
“ไม่ต้องบ่นนะ ก็นัฐบอกให้รีบนอนแต่หัวค่ำก็ไม่ยอมนอนเอง”
“ค่า ข้าน้อยยอมรับผิดทุกประการ ตอนนี้ข้าน้อยพร้อมออกเดินทางแล้ว เพค่ะ”ภานิดาพูดหลังจากจัดการกับตัวเองเรียบร้อยแล้ว
“ดีมาก ตามข้ามา”
แล้วทั้งสองก็หัวเราะขึ้นพร้อมกัน
“ดีใจจังที่เห็นดาสดใสมีความสุขแบบนี้” นัฐฌาพูดขึ้น
“ก็มีนัฐเป็นเพื่อน ดาต้องมีความสุขอยู่แล้ว อีกอย่างชีวิตเราผ่านอะไรที่เลวร้ายมามากมายแค่นี้ไม่ทำให้เราท้อจนหมดความสุขหรอก”
“จ้าคนเก่ง พร้อมที่จะไปรึยัง”
“พร้อมแล้วจ้า”
แล้วสองสาวก็เดินออกมาหน้าบ้าน เจอกับภูผาที่กำลังจะออกไปวิ่งพอดี
“อรุณสวัสดิ์ นัฐ คุณดา” ภูผาเอยทักทายยามเช้ากับสองสาว
“อรุณสวัสดิ์ค่ะพี่ภู ทำไมพี่ภูเรียกดาว่าคุณล่ะค่ะมันดูห่างเหินอย่างไงไม่รู้”
“พี่น่ะไม่มีปัญหาหรอก แต่เจ้าตัวเขาจะอนุญาตเหรอ” ภูผาพูด
อีตาบ้ากวนประสาทแต่เช้าเลย ภานิดาบ่นในใจให้ภูผาที่กำลังอมยิ้มแล้วยังส่งสายตามาท้าทายเธออีก
“นะดาเรียกพี่ภูว่าพี่ภู และให้พี่ภูเรียกดาว่าดาดีกว่าเรียกว่าคุณนะ…นะ”นัฐฌาพูดเสียงอ้อน
กับภานิดา
ภานิดามีสีหน้าอึดอัด แต่ก็รับคำเพราะไม่รู้จะปฎิเสธยังไง
“ก็ได้”
“งั้นนัฐกับดากำลังจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกันใช่ไหม พี่ว่าเราวิ่งออกกำลังกายไปดีกว่า ตามพี่มา”
ภูผาหันมาส่งสายตาเยาะเย้ยภานิดาที่เธอต้องยอมเรียกเขาว่าพี่ตามที่นัฐฌาขอ ก่อนจะวิ่งนำสองสาวไป
ฝากไว้ก่อนเถอะ ภานิดาเม้มปากแน่นสะกดกั้นอารมณ์พร้อมกับอาฆาตในใจ
“อย่าให้ถึงทีฉันบ้างล่ะกัน”
นัฐฌาและภานิดาวิ่งตามไปเรื่อย ๆ และชมวิวทิวทัศน์ข้างทางที่เต็มไปด้วยต้นไม้มากมาย และถ้ามองออกไปไกล ๆ ก็จะเห็นภูเขาด้วย
ความสวยงามของธรรมชาติทำให้ภานิดาลืมความขุ่นเคืองที่เกิดกับภูผาชั่วคราว ถ้าไม่ถูกกวนขึ้นมาอีก
“นัฐดูแลเพื่อนด้วยนะ ไม่รู้จะไหวรึเปล่าอีกตั้งหลายกิโล” ภูผาปรายตามาสบกับตาเขียวเข้มของเธอที่ดูเหมือนจะโกรธเขาอีกแล้วซึ่งเขาก็ชอบแหย่ให้เธอโกรธไม่รู้ทำไมเหมือนกัน ภูผาเลิกคิดที่จะหาคำตอบแล้ววิ่งต่อไป
“ฮึ…อยากเอาก้อนหินขว้างให้หัวเบะนัก” ภานิดาคิด
แล้วทั้งหมดก็ไปถึงจุดชมพระอาทิตย์ขึ้น ซึ่งแสงสีทองของพระอาทิตย์กำลังทอแสง
ภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้ทุกคนหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง
“เป็นไงดา สวยใช่ไหม” นัฐฌาถาม
“อืม..สวยมาก”
หลังจากนั่งพักสักครู่ภูผาก็ชวนทั้งสองสาวกลับ
“กลับกันเถอะ เดี๋ยวสายแดดจะร้อน ดายิ่งใส่ขาสั้นมาเดี๋ยวดำแย่”ภูผาพูดกระทบ
“ขอบคุณค่ะพี่ภูที่เป็นห่วง” เธอขอบคุณเขาเสียงหวานแต่ตาเข้มเชียว
เมื่อทั้งสามกลับถึงบ้านก็เจอกับแขกที่ไม่ได้รับเชิญ
“สวัสดีค่ะคุณภู” แพรพลอยเอยทักพร้อมรอยยิ้มหวาน
“สวัสดีครับคุณพลอย อ๋อ…นี่นัฐฌาน้องสาวผมและภานิดาเพื่อนนัฐครับ” ภูผาเอยแนะนำ
ทั้งสาวยกมือไหว้และเอยสวัสดีพร้อมกัน
“ สวัสดีค่ะคุณพลอย”
“แหมเรียกพี่พลอยดีกว่าค่ะ เราคนกันเองใช่ไหมค่ะคุณภู” แพรพลอยพูดแล้วหันไปเกาะแขนภูผา
“คุณพลอยคงยังไม่ได้ทานอะไรมา ทานข้าวเช้าด้วยกันนะครับ” ภูผาเอ่ยชวน
แล้วมีเหรอที่แพรพลอยจะปฏิเสธเพราะนั้นเป็นความตั้งใจของเธออยู่แล้ว เธอคิดแล้วรีบตอบตกลง
“ตกลงค่ะ”
และทั้งหมดก็เดินเข้าไปในบ้านพร้อมกัน
แพรพลอยเกาะภูผาแจที่โต๊ะอาหารก็นั่งใกล้กันทำให้ภานิดาและนัฐฌาคิดว่าทั้งสองเป็นคนรักกัน
หลังจากทานอาหารเสร็จสองสาวก็แยกกลับห้อง ปล่อยให้คนรักเขาคุยกันตามที่สองสาวเข้าใจ
“นี่ดาคิดเหมือนนัฐไหมว่าคุณแพรพลอยต้องเป็นคนรักของพี่ภูแน่เลย”
“คงงั้นมั้ง” ภานิดาตอบแบบไม่ใส่ใจแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป
หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จภูผาพยายามหาทางเลี่ยงแพรพลอยโดยอ้างว่ามีงานด่วนต้องทำ แพรพลอยจึงยอมกลับบ้านเธอไป
หลังจากอาบน้ำเสร็จนัฐฌาก็ขอนอนพักสักงีบเพราะเมื่อเช้าตื่นตั้งแต่ตีห้า ส่วนภานิดาบอกนัฐฌาว่าเธอจะออกไปเดินเล่นเพราะไม่ง่วง
ภานิดาเดินออกมาก็เจอกับภูผาที่เปลี่ยนเสื้อผ้าพร้อมที่จะออกไปทำงานในไร่
“แต่งตัวอย่างนี้จะไปไหนครับน้องดา” น้ำเสียงของเขาภานิดาได้ยินก็รู้ว่าเขาแกล้งล้อเธอ
“ไปเดินเล่นค่ะ ปู่ภู” พูดจบภานิดาก็จะเดินหนี แต่ภูผาจับแขนเธอไว้
ภานิดามองมือเขาตาเขียวทำให้เขารู้สึกตัวและปล่อยมือเธอ
“นี่ผมแก่ขนาดเป็นปู่คุณได้เลยเหรอ” ภูผาแกล้งถาม
“ยี่…อย่างคุณนี่ฉันไม่อยากเป็นญาติด้วยหรอก”
“ผมก็ไม่ได้อยากเป็นญาติกับคุณนี่ แต่ถ้าเป็นอย่างอื่นก็ไม่แน่”
“แหวะ…ฝันไปเถอะ” ภานิดาตอกกลับ
“ดีอยู่ในฝัน เกิดอะไรขึ้นจะได้ไม่ต้องรับผิดชอบ คุณอนุญาตแล้วด้วย” ภูผาแกล้งส่งยิ้มหวาน
ให้เธอ เธอคิดว่าเป็นยิ้มที่น่ามองเหมือนกันถ้าเขาไม่แกล้งไม่กวนประสาทเธอ
“ไอ้บ้า ไอ้โรคจิต นี่ในสมองนายมีแต่เรื่องแบบนี้รึไง”
คำพูดของเขาทำให้ภานิดาโกรธมากและเธอก็ด่าเขาจนไม่รู้จะหาคำไหนมาด่าผู้ชายกวนประสาทคนนี้อีกแล้ว
“อะ..อะ รู้เหรอคุณว่า ผมคิดจะฝันถึงคุณยังไงน่ะ” ภูผายิ้มมากขึ้นขณะมองสบตาที่แวววาวด้วยความโกรธนั้นของเธอ
ภานิดาไม่อยากคุยไม่ใช่ซิไม่อยากทะเละกับเขาก็เลยหันหลังจะเดินหนี
“เดี๋ยวก่อนซิคุณ ไปในไร่ด้วยกันไหม” ภูผาเรียกเธอไว้และชวนเธอไปไร่ด้วย
ภานิดาหันกลับมามองเขาเหมือนไม่เชื่อที่เขาพูด ขณะที่ภานิดาลังเลภูผาก็พูดขึ้นว่า
“คุณ… ถ้าจะไปก็ตามมาล่ะ”
ภูผาเดินนำไปที่รถ ภานิดาตัดสินใจเดินตามไปเพราะอยากเห็นไร่ของเขาเหมือนกัน

No comments: